ฝ่ายค้าน อภิปรายดุ! “ส.ส.ครูมานิตย์” ลั่น รัฐบาลกู้เงิน เยียวยาโควิด ไม่ใช่บุญคุณ ประชาชนใช้หนี้ โวย ประเทศนี้คนจนเสียภาษีแล้วไม่ได้คืน เหมือนคนรวย!

เมื่อวันที่ 28 พ.ค.เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม

เวลา 12.43 น. นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่า ก่อนปัญหาโควิด-19 มาถึงประเทศไทยมีสองปัญหาใหญ่ คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจปากท้อง บริษัทยักษ์ใหญ่หนี ตึกเซ้งขายธุรกิจปิดกิจการ เป็นเพราะรัฐบาลบริหารงานล้มเหลว อย่าเอาโควิดมาเป็นผู้ร้าย

และปัญหาแฟลชม็อบที่เป็นการรวมตัวกันของนักศึกษา ให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาประเทศ พอเริ่มเป็นกลุ่มก้อน ปัญหาสะสม เห็นใจนายกฯ ที่ต้องคิดหนัก เข้าใจว่าคงมีมือกฎหมายบอกว่าใช้แค่ พ.ร.บ.ควบคุมโรคคงไม่ได้ ต้องคุมม็อบด้วย ท่านก็ประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที ไม่ได้คิดแก้ปัญหา

จากนั้นก็เรียกให้กระทรวงการคลังเข้ามาเยียวยา สุดท้ายก็ชุลมุนเพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินสั่งปิดๆๆ หยุดๆๆ ไม่คิดให้ตกผลึก ไม่วางแผน ปิดไว้ก่อน ใช้ยาแรง อ้างโควิด-19 ไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย จากนั้นก็ตามมาด้วยเคอร์ฟิวและล็อกดาวน์

ส่วนกระทรวงการคลังก็เยียวยาช้า ใครบอกว่า รมว.คลังทำงานรวดเร็ว ตนว่าไม่จริง วิกฤตแบบนี้ท่านต้องรีบจ่าย รีบช่วย แต่กลับมีเงื่อนไขมากมาย พออ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เลยเชื่อสนิทใจว่าท่านเป็นมหาอุตม์ ขนาดคนในพรรคเองยังบอกว่าท่านช้าในการจ่าย นึกขึ้นได้ว่าท่านชื่ออุตตม เพราะท่านอุดไว้หมด

นายครูมานิตย์ อภิปรายต่อว่า ส่วนการทำงานนายกฯ ก็ใช้แต่ปลัดทำงานใน ศบค. รัฐมนตรีจะตกงานกันหมดแล้ว ส่วนพ.ร.ก.กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท อย่าคิดว่าเป็นบุญคุณ ประกาศว่ารัฐบาลเอาเงินมาให้ นี่มันเงินชาวบ้าน เพราะเงินที่กู้มา ทุกคนเป็นหนี้

วันนี้รัฐบาลกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และเงินค้ำประกันตราสารหนี้อีก 9 แสนล้านบาท มันจะกลายเป็นเงินกู้ เมื่อคนกู้เบี้ยวหนี ดังนั้น อย่ามาโกหกว่าไม่ใช่เงินกู้ เงินกู้ฉบับ 1 ล้านล้านบาทตนเต็มใจยกมือให้ เพราะสงสารชาวบ้านเกือบ 7 ล้านคน ที่ทนทุกข์เจ็บปวดทุกเรื่อง โดยที่รัฐบาลยังไม่มีแผนรองรับ

แต่ที่ตนลังเลคือเราต้องใช้หนี้ปีละ 5 หมื่นล้านบาท เป็นการทำลายการพัฒนาประเทศในอนาคตวันข้างหน้า เราอยู่ไม่กี่ผืนผ้า แต่ลูกหลานเราต้องสู้ ส่วนเงินกู้สองฉบับหลัง ตนคิดหนัก เพราะมีแต่เศรษฐี มีฐานะยังมีทุนอยู่ จึงอยากให้บันทึกไว้ว่าเป็นความสับสน แต่ตนจำใจ เพราะรัฐบาลเอาเงินเป็นตัวตั้ง เอาประชาชนมาเป็นเชลยในการขัง

เงินนี้ทุกบาททุกสตางค์เป็นสมบัติของประชาชน เราต้องชดใช้หนี้ตราบที่เรามีลมหายใจ คนจนในประเทศนี้เสียภาษีมากกว่าคนรวย เพราะเสียแล้วเสียเลย แต่คนรวยเสียภาษียังได้คืน ทำอย่างไรได้เมื่อเรามาเจอรัฐบาลแบบนี้ บริหารแบบนี้ เอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน