แกนนำนปช.ลุ้นระทึก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีบุกบ้านป๋าพรุ่งนี้ เผยอุทธรณ์สั่งจำคุก 4 ปี ย้อนดูคดียึดทำเนียบของพธม. ฎีกาคุก 8 เดือน ยกฟ้องบุกสภา-ม็อบดาวกระจาย
วันที่ 25 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 26 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ เวลา 09.00 น. จะมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีที่กลุ่มนปช. บุกปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เหตุเดเมื่อปี 2550 หลังจากที่เลื่อนมาจากวันที่ 30 เม.ย. เนื่องจากติดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019
เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2563 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก มีคำสั่งเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีกลุ่มนปช. ชุมนุมปิดล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 จากเดิมที่นัดหมายอ่านในวันที่ 30 เมษายนนี้ ให้เลื่อนไปเป็นวันที่ 26 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. เนื่องจากอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19
โดยคดีดังกล่าวพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 , นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน , นายวันชัย นาพุทธา , นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) , นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
คดีนี้มีการเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้วรวม 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2562 ครั้งนั้นนายวีระกานต์ จำเลยที่ 4 ป่วย ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2562 แต่จำเลยที่ 4-7 ขอกลับคำให้การเดิมจากปฏิเสธสู้คดี เป็นขอรับสารภาพผิด ศาลอาญาจึงต้องส่งคำพิพากษากลับไปให้ศาลฎีกาพิจารณาใหม่
ครั้งที่ 3 วันที่ 6 ก.พ. 2563 นายนพรุจ จำเลยที่ 1 ย้ายที่อยู่ไม่สามารถส่งหมายนัดได้ ล่าสุดคือครั้งนี้เนื่องอยู่ในช่วงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงต้องเลื่อนนัดเป็นวันที่ 26 มิ.ย. นี้ เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2558 จำคุกนายนพรุจ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ส่วนนายวีระกานต์ นายณัฐวุฒิ นายวิภูแถลง และ นพ.เหวง จำเลยที่ 4-7 จำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน ยกฟ้องนายวีระศักดิ์ และนายวันชัย จำเลยที่ 2-3 ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษา เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2560 พิพากษาแก้เป็นว่า พวกจำเลยมีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ให้จำคุกคนละ 1 ปี และมีความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายโดยเป็นหัวหน้าสั่งการ ซึ่งเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 215 วรรคสาม เพียงกรรมเดียว จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี คำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี 8 เดือน ส่วนนายนพรุจ จำเลยที่ 1 จำคุก 2 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3
ขณะที่คดีทางการเมืองอื่นๆ อาทิกรณีที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกยึดทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2562 โดยพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 83 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 72 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 68 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 72 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 45 ปี อดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์
และระบุว่า จำเลยเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ชุมนุม ขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นให้ลาออก โดยนำมวลชน บุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ทำให้เสียทรัพย์ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษ เหลือจำคุกจำเลยคนละ 8 เดือนไม่รอลงอาญา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบ ตามที่จำเลยอ้าง เพราะพฤติการณ์ของจำเลยและผู้ชุมนุม ปีนรั้วเข้าทำเนียบรัฐบาลที่ล็อกไว้ และอยู่ต่อเนื่อง ทำลายทรัพย์สินเสียหาย ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 6 ฐานร่วมกันบุกรุกทำให้เสียทรัพย์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้ง 6 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ขณะที่คดีที่พันธมิตรฯ บุกยึดรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2562 สั่งยกฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรและแกนนำอีก 21 คน กรณีเคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ไปปิดล้อมรอบอาคารรัฐภา ช่วงวันที่ 7 ต.ค. 2551 ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์-จำเลย นำสืบหักล้างกันแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าเป็นการฟ้องจำเลยที่ 1-3, 6-7 ซ้ำกับคดียึดทำเนียบรัฐบาลและชุมนุมดาวกระจายหรือไม่ คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อหายุยงปลุกปั่นและข้อหาอื่นเป็นพฤติการณ์ในวันที่ 5-7 ต.ค. 2551 แม้เหตุการณ์จะต่อเนื่องกัน แต่เจตนาในการชุมนุมแตกต่างกัน เป็นกรณีต่างกรรมต่างวาระ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ
โดยระบุว่าจากข้อเท็จจริงเป็นไปได้ว่า ผู้ชุมนุมมีความคับแค้นจากสถานการณ์พาไป เกิดขึ้นทันด่วน ยากที่แกนนำจะควบคุม ซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งหมดมีส่วนยุยงปลุกปั่นตามฟ้อง มีเพียงการกระทำเฉพาะตัวเฉพาะรายของผู้ชุมนุมเอง พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักมั่นคง พิพากษายกฟ้อง
สำหรับคดีชุมนุมดาวกระจายเมื่อปี 2551 ศาลอุทธรณ์พิพากษา เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 61 ระบุว่า ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว พิพากษาแก้เป็นยกฟ้องจำเลยทั้ง 9 คน โดยเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นกรณีจำเลยที่ 1-6 เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีบุกรุกทำเนียบรัฐบาล ส่วนจำเลยที่ 7-9 ก็ไม่มีความผิดฐานก่อความวุ่นวายตามมาตรา 215 ด้วย แม้โจทก์จะยกกรณีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ในการรื้อถอนเวทีและเต๊นท์ของผู้ชุมนุม ศาลเห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เริ่มจากผู้ชุมนุม และการตรวจค้นพบเหล็กแป๊บและขวานในพื้นที่หลังผู้ชุมนุมถอยออกไปก็ไม่ได้ค้นจากตัวผู้ชุมนุม มีข้อสงสัยว่าไม่ใช่ของผู้ชุมนุม จึงเป็นการใช้สิทธิชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งต้องรอลุ้นกันว่าการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ ว่าผลของคดีบุกหน้าบ้านพล.อ.เปรมนั้น จะมีผลออกมาเช่นใด