ก.ต.มติเอกฉันท์ 14 ต่อ 0 เห็นชอบ “ชีพ จุลมนต์”นั่งประธานศาลฎีกาคนที่ 44 โผทหารยังไม่เสร็จ เก้าอี้ 5 เสือทุกเหล่าทัพยังไม่ลงตัว “บิ๊กตู่” เบรกตั้ง 6 ปลัด-ขรก.ซี 11 สั่งกระทรวง ทำแผนโยกย้ายภาพรวม ยันไม่มีนโยบาย ข้ามห้วย รัฐบาลทูลเกล้าฯพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์-พ.ร.บ.ปฏิรูปแล้ว กมธ.รับข้อเสนอกรธ. พร้อมปรับแก้พ.ร.บ.พรรคการเมือง ครม. ไฟเขียวทัพฟ้าซื้อเครื่องบินฝึกขับไล่จากเกาหลีใต้ งบฯ 8.8 พันล้าน “บิ๊กป้อม”การันตีโปร่งใส ทนาย”ปู”แจง 4 เหตุผล โต้ยื้อคดีจำนำข้าว

บิ๊กตู่ชี้งบไม่ได้กระจุกแค่ซื้ออาวุธ

เวลา 13.45 น. วันที่ 11 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการให้ประชาชนตอบ 4 คำถาม ว่า ได้รับทราบคำตอบที่ประชาชนส่งมาแล้ว ส่วนหนึ่งสนับสนุน เห็นชอบและเห็นด้วย ซึ่งมีจำนวนมากกว่าไม่เห็นด้วย ส่งมาทำนองนี้ พูดไปจะกลายเป็นว่าไปคัดแยกเฉพาะส่วนดีๆ มาให้ตนหรือเปล่า ไม่ดีตนก็อ่าน ฟังทั้งหมด เพียงแต่เขาเสนอแนวทางว่าควรทำอย่างไร เลือกตั้งแล้วถ้าจะแก้ปัญหาทีหลังจะแก้ได้อย่างไร กลไกต่างๆ มีอยู่แล้ว คิดว่าประชาชนรับรู้มากขึ้น นักการเมืองประชาชนก็ดูพฤติกรรมทุกคน

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงโครงการจัดหาเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น แบบ T-50 TH ระยะที่ 2 จำนวน 8 เครื่องของกองทัพอากาศ วงเงิน 8,800 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ 3 ปีว่า ความจริงอนุมัติมาตั้งแต่ปี 2558 ขอให้เห็นใจนักบินที่ต้องฝึกบินด้วยเพราะนักบินใช้เครื่องบิน L-39 ซึ่งไอพ่นหมดอายุแล้ว หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็คงไม่ดี หากนักบินได้รับการฝึกมาไม่ดีผิดพลาดขึ้นจะเสียมากกว่าเดิม สำหรับวิธีการจัดซื้อได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจึงจัดซื้อจากเกาหลีใต้ ทำให้เห็นว่าเราไม่ได้ ผูกมัดกับใคร ส่วนมีทุจริตหรือไม่ขอให้ไปตรวจสอบดู

“รัฐบาลไม่ได้นำงบฯ ไปกระจุกตัวอยู่เพียง เรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างที่พูดกัน ในภาคเกษตรรัฐบาลก็อนุมัติงบฯ เฉลี่ย 2-3 หมื่นล้านบาทต่อสัปดาห์ งบฯ ของภาคส่วนใด ก็เป็นของส่วนนั้น ไม่มีการนำมาแทนที่กัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

กองทัพเน้นพัฒนาเทคโนโลยี

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. เสนอให้ปฏิรูปกองทัพเหมือนปฏิรูปตำรวจว่า การปฏิรูปกองทัพคงไม่ใช่แบบเดียวกับการปฏิรูปตำรวจแต่ต้อง ใช้คำว่าการพัฒนากองทัพ โดยกองทัพมียุทธศาสตร์อยู่แล้ว และวันนี้จำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยี ทั้งหมดต้องมีแผนพัฒนาในระยะยาวและอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อาวุธยุทโธปกรณ์วันหน้าเราอาจจะลดจำนวนให้น้อยลงแต่มีประสิทธิภาพ มากขึ้น ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทั้งกล้อง อุปกรณ์ การยิงระยะไกล โดยไม่ต้องมาเสียเวลาซ่อมและยังต้องมองเรื่องการผลิตเอง

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนที่หลายคนมองว่า มีตำแหน่งนายพลอยู่มากจะเอามาทำงานให้ถูกต้อง ให้อยู่ในกอ.รมน. เพราะรัฐบาลจะเพิ่ม บทบาทของ กอ.รมน.ให้มากขึ้น เพื่อทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ ให้ผู้ว่าฯ มีลูกมือโดยมีทั้งตำรวจ ทหารอยู่ในกอ.รมน.จังหวัดเพื่อทำงานด้านความมั่นคง ยุติความขัดแย้งในพื้นที่ การลดกำลังพลที่ผ่านมาทยอยลดลงตามลำดับปีละ 5-10% ตามสถานการณ์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะปลดออกหมด เพราะต้องคำนึงถึงบุคลากรที่จะเติบโตด้วย และยังต้องดูสายงานที่เกี่ยวกับการติดตามสอบสวนเพื่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งหมดนี้ตนรับมาปรับปรุง

ยันไม่มีตั้งข้ามห้วย

นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเกษียณอายุระดับสูง 14 ตำแหน่งว่า ตนจำเป็นต้องดูภาพรวมทั้งหมด ไม่ใช่แค่แต่งตั้งปลัดแล้วทุกคนจะสบายใจ ทุกหน่วยงานต้องเสนอขึ้นมาเพื่อพิจารณาทั้งหมดว่าจะหมุนเวียนกันอย่างไร หลักการของทหารเป็นแบบนี้จะได้รู้ว่าเส้นทางการเจริญเติบโตเป็นมาอย่างไร จะได้ดูถึงความเหมาะสม ดูทั้งอาวุโส ความรู้ความสามารถควบคู่กัน โดยจะพิจารณาภายใน 2 สัปดาห์นี้ ให้แต่ละหน่วยส่งมาให้ครบ การแต่งตั้งมีคณะกรรมการพิจารณา แต่ตนต้องไปตรวจสอบเรื่องหน้าบ้านหลังบ้านรวมทั้งความประพฤติด้วย เพื่อให้คนดีๆ ได้เจริญเติบโต รวมทั้งการแต่งตั้งในระดับท้องถิ่นโดยเฉพาะกทม. ก็ต้องดูเวลาที่เหมาะสม

เมื่อถามว่าในการพิจารณาถ้าข้ามห้วยจะใช้ หลักการและเหตุผลอะไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ยืนยันว่ายังไม่มีการข้ามห้วย นโยบาย ผมไม่ให้มีการข้ามห้วย ถ้าจะมีก็ต้องมีเหตุผลและความจำเป็น ความเหมาะสม ไม่ใช่ไปวิจารณ์ว่าคนนั้นจะข้ามห้วยไปกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ วิจารณ์กันไปเอง ไอ้คนที่มีชื่อ ก็ดีใจ แต่พอถึงเวลาไม่ได้ขึ้นมาก็ไปรับผิดชอบด้วยแล้วกัน หลักการของผมคือทุกคนต้องโตภายในแท่งของหน่วยงานตัวเองก่อน เว้นแต่มีปัญหาค่อยแก้ไขกัน ถ้ามัวแต่คิดว่าจะข้ามห้วยได้อีกหน่อยก็ไม่มีคนอยากทำงาน คิดแต่จะข้ามห้วยกันไปหมด คนในห้วยก็ไม่ต้องไปไหนจมน้ำตายกันอยู่ตรงนั้น ต้องนึก ถึง ตรงนี้บ้าง”

ยันปรับย้ายขรก.เริ่ม1ต.ค.

เมื่อถามว่าข้าราชการระดับล่างกลุ่มหนึ่งอยากให้การแต่งตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 1 พ.ย. หลังผ่านพ้นงานพระราชพิธีไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า กฎหมายกำหนดชัดเจนให้แต่ละปี มีการปรับย้ายได้ 2 ครั้ง เมื่อข้าราชการเกษียณไปแล้วในวันที่ 30 ก.ย. ถ้าไม่แต่งตั้งแล้วใครจะทำงาน ต้องยึดตามกฎหมาย เมื่อเกษียณ ก็ต้องตั้งคนใหม่ทันที

นายกฯกล่าวว่า ส่วนที่อยากให้ผู้ว่าฯ ที่ถูกปรับย้ายออกจากพื้นที่ในวันที่ 1 พ.ย.นั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะการปรับย้ายต้องเริ่มในวันที่ 1 ต.ค. มีวงรอบชัดเจนตามกติกา เมื่อถามว่าแต่ข้าราชการในพื้นที่เกรงว่าเมื่อมีนายใหม่ เข้ามาแล้วงานจะขาดความต่อเนื่อง พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “แสดงว่ามันห่วย เขาทำงานกันด้วยระบบ ไม่ได้ทำงานด้วยตัวคน ทุกอย่าง ยืนยันทำตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ผมไม่ได้ตั้งกฎ ตั้งระเบียบขึ้นใหม่ ทุกอย่างมีกติกาอยู่แล้ว”

นายกฯตีกลับโผซี 11

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ กรณี พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้ทุกกระทรวงและหน่วยงานภาครัฐดำเนินการแต่งตั้งโยกย้าย ข้าราชการ พร้อมแต่งตั้งข้าราชการใหม่แทนข้าราชการที่จะเกษียณอายุในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ให้เสร็จภายในเดือนส.ค.นี้ว่า ทั้งหมดมี 14 หน่วยงานซึ่งขณะนี้เสร็จไปแล้ว 10 หน่วยงาน ยอมรับว่ารายชื่อในส่วนของกระทรวงแรงงาน นั้นยังไม่เรียบร้อย ส่วนชื่อปลัดสำนักนายกฯ ก็ยังไม่เห็นรายชื่อเช่นกัน ทั้งนี้ จะมีการเสนอเข้าครม.ในวันนี้หรือไม่ ก็แล้วแต่หน่วยงานนั้นๆ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 14 หน่วยงานดังกล่าว อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน สำนักปลัดสำนักนายกฯ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมครม. ถึงการแต่งตั้งโยกย้ายปลัดกระทรวงว่า มีการ นำเสนอเรื่องเข้าครม.แล้ว โดยมีระดับซี 11 เกษียณอายุ 14 คน ซึ่งเป็นระดับปลัดกระทรวง 6 กระทรวง และหน่วยงาน 6 สำนัก เช่น สำนักงบประมาณ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สมช. เป็นต้น แต่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้แต่ละกระทรวงไปทำแผนภาพรวมการวางตัวบุคคลให้เสร็จสิ้นก่อน จึงยังไม่พิจารณา แต่งตั้งในสัปดาห์นี้ เมื่อไม่ติดใจอะไรแล้ว จะส่งเรื่องกลับไปให้กระทรวงเพื่อเสนอกลับเข้าครม.พิจารณาเป็นรอบๆ ต่อไป อาทิ รอบปลัดกระทรวง รองปลัด ผู้ตรวจการ อธิบดี

ทูลเกล้าฯกม.ยุทธศาสตร์-ปฏิรูป

พล.ท.สรรเสริญแถลงอีกว่า นายวิษณุชี้แจงในที่ประชุมครม.ถึงความคืบหน้าร่างพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และร่างแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ที่ผ่านความเห็นชอบจากสนช.นั้น รัฐบาลกราบ บังคมทูลฯไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ขั้นตอน หลังจากประกาศลงราชกิจจานุเบกษาและให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดไป การทำหน้าที่ของสปท.จะสิ้นสุดวาระทันที นายกฯ ตอบรับการประสานของสปท.ที่จะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลหลายเรื่อง โดยจะใช้ห้องประชุมสภา ในการพูดคุยและจะเชิญแม่น้ำทุกสายมาร่วมพูดคุยด้วย จากนั้นหลังจากประกาศใช้กฎหมาย 15 วัน ต้องแต่งตั้งกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ คณะ 15 คนให้แล้วเสร็จ สมมติประกาศใช้กฎหมายทั้งสองฉบับในวันที่ 1 ส.ค.นี้ จากนั้นวันที่ 15 ส.ค. จะต้องตั้งคณะกรรมการปฏิรูปให้เรียบร้อย ขณะนี้ตั้งไปแล้ว 2 คณะ คือคณะกรรมการปฏิรูปด้านการศึกษา และด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ)

พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า สำหรับคณะกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ต้องเสนอเข้าที่ประชุมครม.เห็นชอบเช่นเดียวกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ โดยต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 เดือน เมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการทั้งหมดแล้วคาดว่าจะดำเนินการจัดทำแผนปฏิรูปด้านต่างๆ และแผนยุทธศาสตร์จะออกมาประมาณกลางปี 2561 ทั้งนี้ ระหว่างจะมีแผนออกมาคณะกรรมการป.ย.ป. ยังคงอยู่ทำหน้าที่ไปจนกว่าจะถึงกลางปี 2561

ครม.อนุมัติทอ.ซื้อบินฝึก

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม.ว่า ที่ประชุมรับทราบโครงการจัดหาเครื่องบินฝึกนักบินขับไล่ขั้นต้น แบบที-50 ทีเอช จำนวน 8 เครื่อง ของกองทัพอากาศ วงเงิน 8,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากระยะที่ 2 หลังจากครม.มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการเมื่อปี 2557 โดยกองทัพอากาศได้เตรียมงบไว้แล้ว ทั้งนี้ การจัดซื้อเพื่อทดแทน เครื่องแอล 39 ที่ใช้งานมา 30 ปี ยืนยันว่าการจัดซื้อโดยเหล่าทัพเป็นไปอย่างโปร่งใส ซื้อแบบ รัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี

พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงการเรียกร้องให้มีการ ปฏิรูปทหารและกองทัพว่า กองทัพปฏิรูป มาตลอดทุกเรื่อง ไม่มีอะไรที่ไม่ปฏิรูป เมื่อถามว่าเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปคือระบบที่จะไม่ทำรัฐประหาร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ที่ทำรัฐประหารเป็นการแยกไม่ให้คนทะเลาะกัน ไม่ได้มีเจตนามาปฏิวัติและคิดว่าทหารเดี๋ยวนี้ไม่ทำกัน เมื่อถามย้ำว่าเป็นการเรียกร้องให้ปฏิรูป โดยไม่ให้ทหารเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง รมว.กลาโหม กล่าวว่า ทหารไม่อยากเกี่ยวอยู่แล้ว และที่เข้ามาเกี่ยวข้องขณะนี้ก็จะเลิกเมื่อมีการเลือกตั้งก็จบ

เมื่อถามว่าจะพูดได้หรือไม่ว่าทหารจะไม่ปฏิวัติอีกแล้ว พล.อ.ประวิตร ย้อนว่า จะพูดได้ อย่างไรขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆ ประชาชนเรียกร้องเหมือนครั้งที่ผ่านมาจะทำอย่างไร

พท.จี้ช่วยเกษตรกรก่อน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำ ชาวสวนยางภาคใต้ที่ประกาศตัวเป็นมิตรกับรัฐบาลยังเรียกร้องให้รัฐบาลพูดความจริง แก้ปัญหาราคายางตกต่ำอย่างเร่งด่วน พรรคเพื่อไทยขอเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งวอร์รูมแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ บูรณาการทุกระบบ เหมือนที่รัฐบาลบูรณาการ การจัดซื้ออาวุธอย่างเท่าเทียมกันทุกเหล่าทัพ กองทัพบกได้รถถัง เฮลิคอปเตอร์ กองทัพเรือได้เรือดำน้ำ กองทัพอากาศได้เครื่องบินฝึกขับไล่เกาหลี แม้การพัฒนาศักยภาพกองทัพเป็นสิ่งสำคัญแต่รัฐบาลต้องตอบคำถามประชาชน เศรษฐกิจที่วิกฤตขนาดนี้ได้จัดลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณอย่างไร ชะลอแผนการจัดซื้ออาวุธเหล่านี้ออกไปเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรก่อนได้หรือไม่ รัฐบาลควรชี้แจงว่าจะแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้อย่างไร จะยกระดับสินค้าเกษตร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างไร

กมธ.ไม่ขัดแก้ไพรมารี่

ที่รัฐสภา พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ. ว่าด้วยพรรคการเมือง กล่าวถึงข้อเสนอของ กรธ.ในการปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ประเด็น ไพรมารี่โหวตว่า ยังไม่มีการประชุมร่วมกับกรธ.และกกต. เพียงแค่ได้รับหนังสือจากกรธ.ที่ระบุว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ตรงเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ 4-5 ข้อ แต่กรธ.ไม่ได้คัดค้านการให้สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมคัดเลือกตัวผู้สมัคร โดยเห็นว่ากระบวนการให้สาขาพรรคคัดเลือก ผู้สมัครอาจทำให้เกิดขั้นตอนคัดเลือกที่ไม่สุจริตได้

พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า กมธ.ไม่ขัดข้อง ที่จะแก้ไขกระบวนการต่างๆให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงพร้อมปรับปรุงขั้นตอนการคัดเลือกผู้สมัครให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยให้ขั้นตอนการคัดเลือก ผู้สมัครเป็นกิจการภายในพรรคการเมือง ที่หัวหน้าพรรคต้องดูแลรับผิดชอบกระบวนการ คัดเลือกให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่กกต.ไม่มีอำนาจแจกใบเหลืองใบแดงขั้นตอนไพรมารี่โหวตได้ หากมีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในการคัดเลือกผู้สมัคร ให้ผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมใช้ช่องทางฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายได้ โดยหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคต้องเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบด้วย รวมทั้งจะโยงไปถึงกรณีผู้ที่ได้เป็นส.ส. หากภายหลังพบว่าได้เป็นผู้สมัครระบบไพรมารี่โหวตโดยไม่ถูกต้องและถูกลงโทษจำคุก จะมีผลให้ต้องพ้นสภาพจากส.ส.ในทันที

พร้อมปรับ-การส่งผู้สมัคร

พล.อ.สมเจตน์กล่าวว่า ขณะเดียวกัน จะทบทวนประเด็นการแก้ไขให้หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 ตามร่างที่กรธ.แก้ไข เพราะอาจเป็นการจำกัดสิทธิหัวหน้าพรรคที่อยากไปลงส.ส.เขต จึงพร้อมแก้ไขเปิดช่องให้หัวหน้าพรรคสามารถไปลงส.ส.เขตได้ เพียงแต่หัวหน้าพรรคต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกจากสมาชิกพรรคในระบบไพรมารี่โหวตเช่นกัน นอกจากนี้ จะออกบทเฉพาะกาลในการเลือกตั้งสมัยหน้าผ่อนปรนให้พรรคการเมืองที่มีตัวแทนพรรคประจำจังหวัด 100 คน เพียงเขตเดียว สามารถส่งผู้สมัครได้ทั่วทุกเขตในจังหวัดนั้นๆ จากเดิมที่กำหนดให้มีตัวแทนพรรคประจำเขตเลือกตั้งเขตละ 100 คน ครบทุกเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จึงจะมีสิทธิส่งผู้สมัครได้ ข้อบัญญัติเช่นนี้ทำให้กรณีที่ระบุว่าพรรคใหญ่ได้เปรียบพรรคเล็กไม่เป็นความจริง

ยันไม่มีเหตุผลโหวตคว่ำ

อย่างไรก็ตามในอนาคตมีความเป็นไปได้ ที่จะให้กกต.เข้ามาดูแลการคัดเลือกผู้สมัครในระบบไพรมารี่โหวต เพราะมีเครื่องมือนับคะแนนระบบอิเล็กทรอนิกส์ อาจนำมาใช้ช่วยจัดการเลือกตั้งในระบบไพรมารี่โหวตและการเลือกตั้งทั่วไปได้ เพียงแต่ในครั้งแรก กกต.อาจยังไม่มีความพร้อมจึงเกรงว่าอาจเกิดปัญหาขึ้น

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวเรื่องการคว่ำร่างพ.ร.บ.พรรคการเมือง ภายหลังจากที่กมธ.ร่วมได้ปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว พล.อ. สมเจตน์กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งกับกรธ. ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้การทบทวนร่างพ.ร.บ.พรรคการเมืองนำไปสู่การคว่ำร่าง เพราะไม่มีประเด็นใดที่กมธ.จะรับ ไม่ได้ที่จะแก้ไขตามที่กรธ.ให้คำแนะนำมา เพราะมีเจตนารมณ์ตรงกันคือ อยากให้พรรค การเมืองเข้มแข็ง แต่วิธีคิดการทำให้พรรค การเมืองเข้มแข็งย่อมมีความคิดแตกต่างกัน ถือเป็นความงดงามในระบอบประชาธิปไตย

สนช.ลงมติพรบ.กกต. 13 กค.

เมื่อเวลา 16.30 น. นายสมชาย แสวงการ เลขานุการวิปสนช. และโฆษกคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วย กกต. แถลงว่า ที่ประชุมวิปสนช.รับทราบมติคณะกรรมาธิการ ร่วม 3 ฝ่าย ต่อร่างพ.ร.บ.กกต.ที่ยืนยันว่า ข้อโต้แย้ง 6 ประเด็นของกกต.ไม่ขัดหรือแย้งต่อเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ โดยเห็นชอบให้นำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมสนช.วันที่ 13 ก.ค.นี้ เพื่อพิจารณาจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ หากไม่เห็นชอบต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกสนช.ทั้งหมด ซึ่งขั้นตอนการพิจารณาวันที่ 13 ก.ค.จะให้ประธานกมธ.สรุปรายงานการพิจารณา ซึ่งกมธ.ร่วมไม่มีการแก้ไข โดยยืนยันตามร่างเดิมที่สนช. เคยให้ความเห็นชอบก่อนหน้านี้ และจะเปิดโอกาสให้ประธานกกต.ที่สงวนความเห็นได้ชี้แจงข้อโต้แย้ง 6 ประเด็น ให้ที่ประชุมสนช.รับทราบ ก่อนจะลงมติ

ส่วนร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น กรธ.ส่งข้อโต้แย้ง 5 ประเด็นว่าไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสนช. เพื่อตั้งกมธ.ร่วม 3 ฝ่าย มา ทบทวนในสัปดาห์หน้า เบื้องต้นรายชื่อกมธ.ร่วมในส่วนสนช.จะมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญ เลิศชัย รองประธานสนช.คนที่ 1 และพล.อ. สมเจตน์ บุญถนอม

ทนายปูแจง 4 ข้อ-โต้ยื้อคดีข้าว

นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวตอบโต้นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ระบุทีมทนายน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 5 กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ขัดหรือแย้งกับมาตรา 235 วรรคหก ของรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นการประวิงคดี ว่า ยืนยันว่าไม่ได้ประวิงคดีแต่เป็นไปตามสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา ที่จะสู้คดีทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ต้องชี้แจงว่า 1.ก่อนอัยการ มีความเห็นสั่งฟ้อง อดีตกรรมการป.ป.ช. เจ้าของสำนวนตำหนิอดีตอัยการสูงสุด (อสส.) ขณะนั้นและเร่งรัดให้ฟ้อง

2.ชั้นพิจารณาคดี โจทก์เพิ่มเติมพยาน หลักฐานใหม่ทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร กว่าแสนแผ่น จำเลยคัดค้านเพราะไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน ประการสำคัญเอกสารใหม่ ที่เพิ่มเป็นเรื่องที่กล่าวหาจำเลยในคดีอื่นที่มิได้รวมการพิจารณากับคดีของน.ส.ยิ่งลักษณ์

3.รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 235 วรรคหก ระบุการพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาฯ ให้นำสำนวนการไต่สวนของป.ป.ช.เป็นหลัก แต่เพิ่มเติมข้อความตอนท้ายว่า “และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้” แตกต่างและขัดแย้งกับมาตรา 5 กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ ตอนท้ายที่ระบุว่า และอาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร โดยไม่มีเงื่อนไขเรื่องการไต่สวนเพิ่มเติมเช่นเดียวกับบท บัญญัติรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้แล้ว จึงถือว่ากฎหมายที่ศาลใช้รับเอกสารเพิ่มเติมใหม่ของโจทก์นั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 4.ทีมทนายเห็นว่าหากปล่อยให้การพิจารณาคดีเสร็จสิ้นจะทำให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ หมดโอกาสและเสียสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่คุ้มครองไว้โดยสิ้นเชิง

ปูทำบุญราชบุรี-จนท.ประกบ

วันเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมอดีตส.ส.เพื่อไทย เดินทางมาที่วัดช่องลม พระอารามหลวง ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี เข้ากราบสักการะหลวงพ่อแก่นจันทน์ พระคู่บ้านคู่เมือง น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เดินทักทายและเซลฟี่ร่วมกับประชาชนที่มารอรับจำนวนมาก นำโดยน.พ. พงษ์ศักดิ์ ภูสิทธิ์สกุล กลุ่มคนรักน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยมีตำรวจในและนอกเครื่องแบบ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดมาสังเกตการณ์และดูแลความเรียบร้อย

ภายหลังน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าสักการะหลวงพ่อ แก่นจันทน์เสร็จ ได้ลงมาประกอบพิธีทำบุญเนื่องในวันเข้าพรรษา พร้อมถวายอาหารเพลและร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับประชาชนที่มาให้กำลังใจ จากนั้นเวลา 13.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร่วมกับแฟนคลับกว่า 300 คนประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์ จากนั้นคณะของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปยังวัดมหาธาตุวรวิหาร พระอารามหลวง ต.หน้าเมือง เพื่อกราบสักการะหลวงพ่อมงคลบุรี และสักการะพระปรางค์และกราบนมัสการพระธรรมปัญญาพร เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุวรวิหาร เจ้าคณะจังหวัดราชบุรีก่อนเดินทางกลับด้วยรถยนต์

น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า มาทำบุญร่วมกับชาวราชบุรีและถวายเทียนพรรษาที่วัดช่องลมและมากราบไหว้หลวงพ่อแก่นจันทน์ ไม่ได้มาขออะไรเป็นพิเศษ มารับทราบปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำจึงอยากฝากรัฐบาลช่วยแก้ไขเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรราชบุรี

ก.ต.ตั้ง”ชีพ จุลมนต์”ปธ.ศาลฎีกา

วันที่ 11 ก.ค. นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม ได้เผยแพร่เอกสารข่าวการลงมติเลือกประธานศาลฎีกาคนที่ 44 ระบุว่า การประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ครั้งที่ 14/2560 ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์เห็นชอบบัญชีเสนอแต่งตั้ง นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 1 เป็นประธานศาลฎีกา เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรู้ในทางวิชาการคดี เป็นแบบอย่างที่ดีต่อข้าราชการตุลาการและเป็นไปตามลำดับอาวุโส ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายชีพ ปัจจุบันอายุ 63 ปี มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งอีก 2 ปี จนกว่าจะเกษียณราชการในอายุ 65 ปี โดยจบปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 2 ม.รามคำแหง และปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาฯ ซึ่งนายชีพ นับเป็นนิติศาสตรบัณฑิตจาก ม.รามคำแหง คนแรกที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งสูงสุดประมุขตุลาการนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างพิจารณาวาระดังกล่าว นายชีพ ในฐานะกรรมการตุลาการ ซึ่งเป็น ผู้ถูกเสนอชื่อได้ออกจากห้องประชุม ก.ต.ที่เหลือ 14 คน จึงพิจารณาและมีมติเอกฉันท์ 14 ต่อ 0 เห็นชอบให้นายชีพ เป็นประธานศาลฎีกา

โผทหารไม่ลงตัว-ติดที่ 5เสือ

วันที่ 11 ก.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการ จัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2560 ว่า โผทหารยังไม่มาถึงตน ผบ.เหล่าทัพจะพิจารณาผู้มีความรู้ ความสามารถและความเหมาะสมทุกด้าน เชื่อว่าการแต่งตั้งโยกย้ายปีนี้จะไม่มีปัญหาและเสร็จตามกรอบ คงไม่รีบร้อน ตำแหน่งที่ยังไม่ลงตัวผบ.เหล่าทัพจะพิจารณา ยังมีเวลากลั่นกรองพอสมควร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แต่ละเหล่าทัพกำลังจัดทำบัญชีโยกย้ายแต่ยังไม่เสร็จ เนื่องจากไม่ลงตัวในตำแหน่ง 5 เสือ ทั้งในส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือและกองทัพอากาศ ซึ่งต้องพิจารณาเป็นพิเศษเนื่องการเป็นการวางบุคคลเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสถานการณ์ของบ้านเมือง ก่อนหน้า พล.อ.ประวิตร เรียกนายทหารที่คาดจะนั่งในตำแหน่งหลักหรือผู้นำเหล่าทัพ มาที่มูลนิธิป่ารอยต่อห้าจังหวัด ในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็ก รักษาพระองค์(ร.1รอ.) เพื่อแสดงวิสัยทัศน์อยู่หลายรอบ

ทั้งนี้ รายชื่อเบื้องต้น สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีคู่แคนดิเดตชิงปลัดกลาโหม 2 คน คือ บิ๊กเข้-พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผช.ผบ.ทบ. ที่เคยมีชื่อเป็นแคนดิเดตผบ.ทบ. และ บิ๊กต้อ- พล.อ.สสิน ทองภักดี เสนาธิการทหารบก เหล่าทหารม้าเช่นเดียวกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ หากคนใดคนหนึ่งได้นั่งปลัดกลาโหม อีกคนจะเป็นรองผบ.ทบ.

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร เตรียมผลักดัน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ ผอ.นโยบายและแผน กห. เป็นเลขาธิการสมช. และพล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำรมว.กลาโหม นั่งรองปลัดกลาโหม

กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.ทสส. จะเกษียณก.ย.นี้ คาดจะเสนอชื่อ บิ๊กต๊อก- พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ เสนาธิการทหาร ขึ้นเป็นผบ.ทสส. ซึ่งพล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ และอดีตผบ.ทสส. วางตัวไว้ และขยับ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญจศรี รองเสนาธิการทหารเป็น เสนาธิการทหาร

กองทัพบก ชัดเจนว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ยังคงเป็น ผบ.ทบ. เพื่อความต่อเนื่อง ในการควบคุมสถานการณ์และขับเคลื่อนของรัฐบาลและคสช.ตามโรดแม็ปจนมีเลือกตั้ง และน่าจะผลักดันให้ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และพล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ขยับขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. อาจขยับให้ พล.ท.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น เสธ.ทบ.

พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 รุ่นน้อง พล.อ.ประวิตร เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เสนอชื่อ พล.ท.ศักดา เปรุนาวิน แม่ทัพน้อยที่ 2 ซึ่งอาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คนใหม่ แต่อีกกระแสมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร ผลักดัน พล.ต.ธราธร ธรรมวินทร รองแม่ทัพภาคที่ 2 ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมส่ง พล.ต.สนธยา ศรีเจริญ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ไปเป็นแม่ทัพน้อยที่ 2

กองทัพเรือ มีแคนดิเดตคู่ชิง ผบ.ทร. ต่อจากพล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ที่จะเกษียณก.ย.นี้ คือ บิ๊กนุ้ย-พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผช.ผบ.ทร. ในฐานะรุ่นพี่ตท.16 กับ บิ๊กลือ- พล.ร.อ. ลือชัย รุดดิษฐ์ เสธ.ทร. ตท.18 ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพล.ร.อ.ณะ ส่วน พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ หัวหน้าคณะฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ ไปกินอัตราจอมพล ตำแหน่งที่ปรึกษากองทัพเรือ หรืออาจข้ามห้วยกินอัตราจอมพลในตำแหน่ง รองปลัด หรือ รอง ผบ.ทสส.

กองทัพอากาศ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. จะโยก บิ๊กต่าย- พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ผช.ผบ.ทอ. มาเป็นรอง ผบ.ทอ. จ่อคิวแม่ทัพฟ้าปี 2561 ขยับพล.อ.อ.สุรศักดิ์ ทุ่งทอง เสธ.ทอ. เป็น ผช.ผบ.ทอ. ให้ พล.อ.อ.ชาญฤทธิ์ พลิกานนท์ รองเสธ.ทอ. โยกเข้าไลน์ 5 เสือ ทอ. กินตำแหน่งผู้ช่วยผบ.ทอ. และ พล.อ.ท.ภานุพงศ์ เสยยงคะ รอง เสธ.ทอ. เป็น เสธ.ทอ.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน