มหาดไทยชงครม.ย้าย 4 บิ๊กข้าราชการ “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ”นั่งอธิบดีกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น ด้าน”มีชัย”โต้นักการเมือง ที่ไม่เอาแยกเบอร์ส.ส. พูดเพราะความเคยชิน อ้างการปฏิรูปจะไปใช้แบบเดิมไม่ได้ ยันวิธีนี้ป้องกันการซื้อเสียงได้ รวมทั้งจะไม่เกิดคำพูดว่าเอาเสาโทรเลข-คนขับรถลงก็สอบได้ อัดอย่าดูถูกประชาชน เพราะเดี๋ยวนี้เขารู้ว่าจะเลือกใคร ด้านบิ๊กตู่โอดต่างชาติไม่ให้เข้าประเทศ แต่ไม่แคร์ เพราะจะได้อยู่ทำงานให้ประชาชน ขู่จับปรับทัศนคติคนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลจะตัดโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค อ้างรณรงค์ให้ประชาชนออกกำลังกาย เพราะจะได้ แข็งแรง โรงพยาบาลจะได้ไม่เจ๊ง เพื่อไทยแถลง-เปิดคลิปเวียนขายข้าวดีเป็นอาหารสัตว์ไปแปลงในตลาดข้าวบริโภค

“บิ๊กตู่”ร่วมปลูกต้นไม้ที่บางบาล

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ส.ค. ที่อาคารศูนย์การเรียนรู้การบริหารจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต.มหาพราหมณ์ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” เฉลิมพระ เกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2560 และร่วมสืบสานแนวพระราชดำริพระ บาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาล 9 ในการฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้

โดยมีพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เข้าร่วม โดยเป็นการเริ่มต้นโครงการเพื่อปลูกให้ครบ 10 ล้านต้น ทั้ง 77 จังหวัด คาดเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ 5 หมื่นไร่ มีข้าราชการ ประชาชนเข้าร่วมกว่า 2,000 คน

เมื่อนายกฯ มาถึง ได้ตรวจเยี่ยมที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้า ก่อนจะทักทายกับหน่วยงานภาครัฐและประชาชน โดยยกมือทำสัญลักษณ์ “ไอเลิฟยู” พร้อมมอบกล้าไม้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด อาทิ ผวจ.สระบุรี ลพบุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา รวมถึงผู้แทนท้องถิ่น

จี้ถามใครอยากให้คสช.รีบๆไป

จากนั้น นายกฯ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ยุทธศาสตร์ชาติที่รัฐบาลวางไว้ เขียนไว้เพื่อให้ตอบโจทย์ให้ได้ ถ้าคิดว่ารัฐบาลนี้ทำไว้ไม่ดี รัฐบาลใหม่ก็แก้ได้ในวันข้างหน้า สิ่งที่แก้ต้องดีกว่าที่ทำไว้ หากคิดแบบเดิมประเทศก็ยังเดินไปไม่ได้ ขอฝากท้องถิ่นทั้งเทศบาล อบต. อบจ. ให้เข้าใจตรงนี้ด้วย เอายุทธศาสตร์ชาติไปขับเคลื่อนแล้วจะได้เลือกตั้งกันเอง คนที่ลงสมัครต้องหาเสียงแบบนี้ ไม่ใช่หาเสียงแล้วทำให้ประเทศล้มเหลว ทั้งเรื่องงบประมาณที่ทำให้เกิดความเสียหาย ประเทศเดินไปไม่ได้ ตอนนี้ยังมีคดีอีก 700-800 คดี ตนไม่ได้เป็นคนทำ ใครทำก็ไปรับกันเอง

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนอยากให้คนไทยช่วยกันดูแลให้เจริญเติบโต เป็นต้นไม้ที่มีชีวิต เป็นต้นไม้ของเราและธรรมชาติ สัตว์ต่างๆ รวมถึงเทวดา ที่สิงสถิตอยู่ วันนี้เทวดาไม่มีที่อยู่เพราะคนตัดต้นไม้ทิ้งกันหมด และคนก็ไปบวชต้นไม้กัน ขณะที่เทวดาไม่มีบ้านอยู่กันแล้วเพราะถูกตัดต้นไม้ทิ้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่ง นายกฯ ได้ถามข้าราชการและประชาชนที่ร่วมงานว่า “มีอะไรจะถามหรือไม่ มีใครสงสัย มีใครไม่เข้าใจและไม่ชอบคสช.หรือไม่ เมื่อไรมันจะไปเสียที ขอให้บอกมา” โดยมีเสียงตอบจากผู้ร่วมงานว่า ขอให้นายกฯอยู่ต่อ ด้านพล.อ. ประยุทธ์จึงกล่าวว่า “ไอ้นี่หาเรื่องอีกแล้ว ผมรู้ว่าให้กำลังใจ แต่บางทีคนที่ไม่ชอบเขาก็มาว่าผมแทน แต่มันก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตย”

ยอมรับต่างชาติไม่ให้ไปเยี่ยม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ต่างชาติยังค้าขายกับเราเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ให้ตนเดินทางไปเยือนเพียงคนเดียว เพราะตนเป็นหัวหน้าคสช. แต่รองนายกฯและรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนต่างประเทศได้หมด ไปค้าขายทุกประเทศ คิดถึงจิตใจตนบ้าง แต่ตนก็ไม่ได้เดือดร้อน เพราะอยากอยู่กับคนไทย นั่งบริหารในประเทศแล้วเอาคนอื่นไปทำ ตอนนี้มีแขกต่างประเทศเดินทางมาทำเนียบรัฐบาลทุกวัน เขามาค้าขาย ชื่นชมบ้านเมืองสงบเรียบร้อย เขาเห็นแผนยุทธศาสตร์ชาติ เห็นช่องทางที่จะเข้ามา ซึ่งตั้งแต่คสช.เข้ามามีกว่า 100 กิจกรรม เขามองแล้วเห็นว่าดีก็มาร่วม โดยเฉพาะการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยไม่ได้เอื้อประโยชน์เขาเพราะทำตามสัญญาที่มีอยู่เดิม เพื่อให้โครงการต่างๆ เกิดเร็วขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่าลำพังรัฐบาลทำคงไม่พอ เนื่องจากงบลงทุนมีไม่มาก ทั้งโครง การรถไฟ รถเมล์ รัฐบาลต้องดูแลประชาชน แต่ถ้าต้องใช้งบประมาณมากขึ้น จะต้องทำอย่างไร จึงต้องหาวิธีการ รวมถึงโรงพยาบาลจะทำอย่างไรไม่ให้เขาเจ๊ง นั่นคือปัญหาที่เราเจอ ประชาชนอาจเจอปัญหาการรักษาพยาบาลไม่ดี แต่ตนเจอปัญหาโรงพยาบาลจะเจ๊ง เพราะเจ้าหน้าที่ทำงานกันไม่ไหว

ขู่ปรับทัศนคติคนที่บอกเลิก 30 บ.

“ผมอยากให้ประชาชนออกกำลังกายกันมากขึ้น จะได้ปวดหัวกันน้อยลง การรักษาพยาบาลก็จะลดลง จะได้มีเงินไปดูแลส่วนอื่น ผมไม่เคยลดอะไรเลย มีแต่หาเงินเพิ่ม อย่าไปเชื่อไอ้ใครที่บอกว่าจะลดโน้นลดนี่ ลดโครงการ 30 บาทหรือบัตรทอง พามาหาผม ต้องพูดคุยปรับทัศนคติกันหน่อย นิสัยแบบนี้ไม่ยอมเลิก เล่นไม่เลิก แต่ผมจะทำให้เต็มที่ จะอยู่ถึงเมื่อไรก็เมื่อนั้น มันเป็นลิขิตที่ผมมายืนตรงนี้ จะเป็นลิขิตของประเทศไทยว่าจะเจริญหรือไม่เจริญ จะล่มสลายหรือไม่ล่มสลาย อยู่ที่มือคนไทยทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

จากนั้น นายกฯและคณะ ร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเริ่มต้นโครงการ โดยนายกฯ ปลูกต้นยางนา และเดินทางกลับกรุงเทพฯ

วัฒนาบี้อย่าออกหมายจับก่อน

ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) นายวัฒนา เมืองสุข อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย พร้อมทนายความ ได้เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. พร้อมนำเอกสารสำนวนทะเบียนบ้านเบอร์โทรศัพท์ 4 สำนวน

นายวัฒนากล่าวว่า ตนได้ยินข่าวพนักงานสอบสวน บก.ปอท. จะไปขอให้ศาลอาญาออกหมายจับตนอีก เนื่องจากมีผู้ไปแจ้งความเพิ่มเติมว่าข้อความที่ตนโพสต์ มีลักษณะยุยงให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่อง เป็นความผิดตามมาตรา 14 ของพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์นั้น ตนจึงมาสอบถามและได้ถ่ายสำนวนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของตน 4 สำนวน ให้พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย ผบก.ปอท. และพ.ต.อ.โอฬาฬ สุขเกษม ผกก.3 บก.ปอท. พร้อมลงบันทึกประจำวันว่าตนนำเอกสารดังกล่าวมามอบให้แล้ว หากบุคคลใดต้องการจะแจ้งความดำเนินคดี ให้ออกหมายเรียกหรือโทร.ประสานตนได้ ไม่ใช่ไปออกหมายจับ หากพบว่ามีการออกหมายจับก่อน ตนจะดำเนินคดีกับตำรวจที่ออกหมายจับตน

จวกใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง

นายวัฒนากล่าวว่า ตนมองว่าคสช.ใช้กฎหมายกลั่นแกล้งคน เริ่มจากตน ต่อมาก็นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน โดยใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาปิดปากการแสดงความคิดเห็น ซึ่งทำให้เห็นว่า คสช. กลัวไปทุกเรื่อง เหมือนเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หรือคนใกล้หมดอำนาจ ที่ต้องใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง ซึ่งทำให้ประเทศเสียหายอย่างยิ่ง

นายวัฒนากล่าวต่อว่า อยากฝากไป ยังตำรวจชั้นผู้ใหญ่ว่า หากต้องการแจ้งความจับตน ให้มาแจ้งด้วยตนเอง ไม่ต้องใช้เด็กหรือตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นเครื่องมือ อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ถูกคัดค้านมาตั้งแต่ต้นนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่าสร้างขึ้นเพื่อกลั่นแกล้ง

ต่อมาเวลา 11.00 น. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ เปิดเผยว่า ตนนำเอกสารเพิ่มเติมมาให้พนักงานสอบสวน ของปอท. ในเรื่องนายวัฒนาเพื่อให้ตรวจสอบรายละเอียด ส่วนจะเป็นเรื่องการโพสต์เฟซบุ๊กหรือไม่นั้น เดี๋ยวคงมีแถลงข่าวเอง จากนั้นจึงเดินทางกลับ

วีระนำพธม.ยื่นปปช.อุทธรณ์

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวีระ สมความคิด อดีตแกนนำพธม. ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการป.ป.ช. ขอให้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หลังมีคำพิพากษายกฟ้องคดี ที่ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผบช.น. สั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพธม. ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 โดย มิชอบ ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบมาเฝ้าสังเกตการณ์

นายวีระกล่าวว่า มั่นใจว่ามีหลักฐานและเหตุผลที่มีน้ำหนักเพียงพอให้ป.ป.ช.ไปยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาฯ ได้ โดยหลักฐานที่เตรียมมาประกอบด้วย สำเนาคำพิพากษาศาลปกครองกลาง รายงานการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตาสลายกลุ่มผู้ชุมนุมของกมธ.ศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและการเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา และหลังจากนี้หากได้คำพิพากษากลางและคำพิพากษาส่วนตัวแล้ว พธม.จะนำไปศึกษาและมามอบให้ป.ป.ช.ทันที แต่หากป.ป.ช.ไม่ยื่นอุทธรณ์ พธม.จะเดินหน้าต่อ จะใช้ทุกช่องทางตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความถูกต้องและเป็นธรรม

โต้กลับบิ๊กตู่-ยันดำเนินการสงบ

เมื่อถามว่าเชื่อมั่นในความเป็นกลางของป.ป.ช.ชุดนี้หรือไม่ นายวีระกล่าวว่า ขอให้สังคมพิจารณาเอง สังคมรู้ดีว่าเป็นกลางหรือไม่ การกระทำฟ้องอยู่ในตัว

เมื่อถามถึงนายกฯ เป็นห่วงการเคลื่อนไหวของกลุ่มพธม.อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย นายวีระกล่าวว่า เราไม่ได้มาชุมนุมหรือชักชวนใครมา แต่มาอย่างสงบ ถ้าประชาชนใช้สิทธิเพราะรักชาติแล้วเป็นสิ่งที่ทำผิดกฎหมาย สิ่งที่คสช.เคยทำมาผิดหรือไม่ ที่เคยฉีกรัฐธรรมนูญผิดหรือไม่ แต่กลับไม่มีโทษเพราะได้รับการนิรโทษกรรม แต่กลุ่มพธม.ไม่ได้รับการนิรโทษกรรม ต้องสู้ตามกระบวน การยุติธรรม ขอให้คสช.กังวลเรื่องของตัวเองดีกว่า อย่ามาวิตกแทนประชาชน

ต่อมาเวลา 13.00 น. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นอุทธรณ์ว่า ขณะนี้สำนักคดี สำนักงานป.ป.ช. ได้ประสานภายในเพื่อขอคำพิพากษาส่วนกลางและคำวินิจฉัยส่วนตัวจากศาลฎีกาฯ แล้ว เพราะเรามีเวลาเพียง 30 วันเท่านั้นเพื่อให้สำนักคดีและทนายความที่ป.ป.ช.จ้างเป็นทนายในคดีนี้นำไปวิเคราะห์ แล้วส่งให้ที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช.พิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอ แต่ยืนยันว่าจะพิจารณาเสร็จทัน 30 วันแน่นอน

เผยโดนทหารเรียกพูดคุย

เวลา 17.00 น. นายวีระ เปิดเผยว่า หลังเข้ายื่นหนังสือถึงป.ป.ช. มีเจ้าหน้าที่ทหาร มาแสดงตนอ้างว่ามาจากค่ายสุรสิงหนาท (ร.12พัน.3รอ.) จ.สระแก้ว เพื่อขอเชิญตัวไปพูดคุยกับผู้บังคับบัญชา แต่ไม่ได้ระบุว่า ผู้บังคับบัญชาชื่ออะไร แต่ตนปฏิเสธไปว่าไม่สะดวก ทหารก็ได้ยื่นข้อเสนอขอไปพูดคุยที่บ้านส่วนตัวของตนแทน ยอมรับว่าอึดอัดใจและไม่สะดวก เพราะรู้ว่าเวลาที่ทหารมาขอพบที่บ้านนั้นก็จะใช้เวลานานและเรื่องที่พูดคุยก็จะพูดไปเรื่อย ไม่รู้ถึงความต้องการ จึงไม่อนุญาตให้ไปที่บ้าน อีกทั้งไม่อยากให้คนในครอบครัวอึดอัดด้วย

นายวีระกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามตนได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัวไว้ ถ้าทหารอยากจะขอนัดวันพูดคุยก็ให้ติดต่อได้แต่ขอให้แจ้งล่วงหน้า ขอเตือนไว้ว่าถ้าเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจปฏิบัติกับตนไม่ถูกต้อง หรือทำให้ตนรู้สึกไม่ปลอดภัย ตนมีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวและครอบ ครัว และรัฐบาลต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้

วิษณุปัดเลือกส.ว.แบบไขว้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีแกนนำกลุ่ม พันธมิตรฯ ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ทบทวนยื่นอุทธรณ์คดีสลายการชุมนุมว่า ป.ป.ช.เป็นเจ้าทุกข์ที่ฟ้องคดีนี้ตั้งแต่ต้น การจะอุทธรณ์หรือไม่ต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานให้ดีว่าสมควรมีเหตุที่จะดำเนินการหรือไม่ ถือเป็นบรรทัดฐานสำหรับทุกคดีอยู่แล้ว ดังนั้น หากกลุ่มพธม.ไม่สบายใจหรือติดใจก็ไปบอกกับป.ป.ช. ให้ป.ป.ช.พิจารณา

นายวิษณุกล่าวกรณีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เห็นชอบหลักการเลือก ส.ว.ให้เลือกตั้งทางอ้อมจาก 20 กลุ่มสาขา เลือกไขว้กันเองข้ามกลุ่มว่า ยังไม่เห็นข้อความ ซึ่งการเลือกไขว้ของส.ว.นั้น หลักเกณฑ์มีระบุอยู่แล้วในรัฐธรรมนูญ ซึ่งพูดกันมาตั้งแต่ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ก่อนจะทำประชามติ ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่มาคิดตอนนี้ โดยรัฐธรรมนูญระบุว่าส.ว. 250 คน ให้มาจากการเลือกในลักษณะเป็นกลุ่ม พูดมา 6 เดือนที่แล้วว่าควรจะเลือกไขว้กันเพื่อไม่ให้ผูกขาดกันหรือผลัดกันเกาหลังคือคุณเลือกผม ผมเลือกคุณในกลุ่มเดียวกัน

ไม่พูดชงแยกเบอร์ส.ส.เขต

นายวิษณุกล่าวว่า แต่ในบทเฉพาะกาลไม่ได้กำหนดให้เลือกทันทีทั้ง 250 คน ให้แบ่งเป็น 2 ประเภทสำหรับ 5 ปีแรก คือให้กรรมการ 9 คนไปสรรหาและคัดเลือกมาจำนวนหนึ่งเพื่อเสนอให้คสช. และคสช.คัดเลือกมาอีก 200 คน โดยไม่นับรวมผบ. เหล่าทัพโดยตำแหน่ง 6 คน เหลือ 194 คน ส่วน 50 คนปล่อยให้เลือกเป็นกลุ่ม กรธ. จึงตัดสินใจว่าจะให้เลือกไขว้กลุ่มหนึ่ง ส่วนรายละเอียด กรธ.เขาไปตกลงกันเอง แต่เมื่อได้บุคคลมาจำนวนหนึ่งจึงให้เสนอคสช.เลือกอีก 50 คน ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ พูดกันมาก่อนทำประชามติรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรธ.เสนอให้ใช้เบอร์ ผู้สมัครเขตและบัญชีรายชื่อคนละเบอร์กัน นายวิษณุปฏิเสธว่า ไม่มีความเห็น ยังไม่เห็นรายละเอียด เพราะยังไม่ได้ดู

ชูศักดิ์อัดจงใจทำสับสนวุ่นวาย

วันเดียวกัน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรธ.ปรับเปลี่ยนหลักการในร่างพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. โดยยกเลิกใช้เบอร์เดียวกันทั่วประเทศและใช้ระบบแยกเบอร์รายเขตว่า การอ้างว่าระบบเลือกตั้งใหม่มีบัตรใบเดียว ไม่มีบัตรพรรคเหมือนก่อน แต่อย่าลืมว่าแม้จะมีบัตรลงคะแนนแบบเขตเพียงใบเดียว แต่ก็นำคะแนนดังกล่าวไปคิดคะแนนบัญชีรายชื่อหรือคะแนนพรรคด้วย การเลือกผู้สมัครแบบเขต จึงเท่ากับเลือกพรรคนั้นไปด้วยนั่นเอง

นายชูศักดิ์กล่าวว่า ที่น่าวิตกคือผู้สมัครในจังหวัดที่มีหลายเขต เช่น มี 5 เขต ผู้สมัครแต่ละเขตอาจได้หมายเลขไม่ตรงกัน เขตหนึ่งเบอร์ 5 เขตสองเบอร์ 1 เขตสามเบอร์ 4 แทนที่จะเป็นเบอร์เดียวกันเหมือนที่ผ่านๆ มา จึงคิดว่าจะสร้างความสับสนยุ่งยากแก่ประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่า จะต้องจำทั้งหน้าทั้งเบอร์ผู้สมัคร ระบบใหม่ที่เสนอจึงสร้างความสับสนวุ่นวาย อธิบายยาก ที่น่าคิดคือจะขัดต่อเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญที่ให้มี ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อหรือไม่

เพื่อไทยแนะกรธ.เปิดใจกว้าง

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ค้านทุกเรื่องแต่กรธ.ควรเปิดใจกว้างรับฟังและทบทวน เพราะ 1.ข้ออ้างเพื่อให้ ผู้สมัครในเขตได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่นั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้ากาได้บัตรเดียว แล้วนำบัตรทั้งหมดมาคำนวณ จำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคจะได้ที่นั่งทั้งประเทศ รวมทั้งส.ส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้นพรรคต้องคัดคนที่มีความสามารถที่สุดมาลงเลือกตั้ง

นายอนุสรณ์กล่าวว่า 2.ข้ออ้างเกรงว่าจะเกิดสถานการณ์ฟันหลอ คงไม่เกิดขึ้น วิธีแก้ง่ายๆ คือให้หัวหน้าพรรคมาจับสลากกันก่อน ก็แก้ไขได้แล้ว 3.การที่มีสมาชิกพรรคบางพรรคให้ความเห็นว่า การยกเลิกใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศจะแก้ปัญหาการส่งเสาไฟฟ้าลงสมัคร ตนไม่เชื่อว่าจะมีพรรคใดโง่ทำเช่นนั้น แต่พรรคต้องเฟ้นหาตัวแทนเพื่อให้ได้ประเภทดี เด่น ดัง ลงสมัคร และยังมีระบบไพรมารี่โหวตเข้ามาช่วยคัดกรองอีก เรื่องนี้จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

ระบุสร้างความอ่อนแอให้พรรค

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า 4.ข้ออ้างยกเลิกใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศเพื่อป้องกันการซื้อเสียง ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะถ้าคนจ้องจะซื้อเสียง เบอร์อะไรก็ซื้อเสียงได้ 5.กรธ.ต้องมั่นใจในรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มั่นใจในกลไกการตรวจสอบและบทลงโทษที่การซื้อเสียงที่มีโทษสูงถึงขั้นยุบพรรค กรธ.อย่ามีความเชื่อตั้งต้นว่าพรรค ผู้สมัคร นักการเมืองทุกคนต้องโกง คนที่ไม่โกง ไม่ทุจริตในระบบเลือกตั้งก็มีจำนวนมาก จึงไม่ควรออกกติกาที่สร้างความยุ่งยาก สับสน จนระบบรวน

“หวังว่า กรธ.ควรเปิดใจกว้าง อย่าถือเขา ถือเรา สิ่งใดในระบบเดิมที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาและประชาชนคุ้นชินอยู่แล้ว ไม่ควรแก้ไข หากจะแก้ไขต้องลดปัญหาและนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่เพิ่มปัญหาให้ยุ่งยากวุ่นวายขึ้น ผมไม่อยากให้กรธ.ถูกมองว่าความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงนั้น หวังสร้างความอ่อนแอให้กับระบบพรรค และยังไม่เห็นข้อดีของการยกเลิกใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ เว้นแต่ กรธ.มีวัตถุประสงค์อื่นที่ยังไม่ได้บอกประชาชนหรือไม่” นายอนุสรณ์กล่าว

ด้านน.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รักษาการหัวหน้าพรรคชาติพัตนา ให้สัมภาษณ์ว่าระบบนี้จะทำให้ประชาชนสับสนในการกาหมายเลขในบัตรเลือกตั้ง ซึ่งต้องพิจารณาตัวผู้สมัครและพรรคที่สังกัดพร้อมกัน รวมทั้งจะประสบความยากลำบากในการลงพื้นที่หาเสียงซึ่งทั้งพรรคและผู้สมัครมีหมายเลขต่างกัน

“พรรคการเมืองลำบากมากในการประชา สัมพันธ์หาเสียงให้ประชาชนเข้าใจเรื่องเบอร์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ต่อระบบการเลือกตั้ง อยากให้มีความสำคัญต่อตัวบุคล หรือให้ความสำคัญต่อพรรค การเมือง อยากให้ระบบพรรคเข้มแข็งหรือบุคคลเข้มแข็ง ทั้งนี้ระบบการเลือกตั้งที่ดี ควรเป็นระบบที่ง่ายต่อประชาชน จะเป็นกลไกช่วยส่งเสริมให้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งและให้พรรคการเมืองสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ที่ดีต่อประเทศ”

มาร์คให้พิมพ์ชื่อโลโก้พรรคด้วย

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีเดียวกันว่า บางทีเรากังวลกับเรื่องดังกล่าวมากเกินไป ย้อนหลังไปปี 2544 เราเคยเลือกตั้ง 2 ใบ บางครั้งเบอร์เดียวกัน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เลือกตั้งแบบรวมเขต เบอร์ผู้สมัครกับเบอร์พรรคไม่ตรงกัน ซึ่งมีประชาชนที่กากบาทผิดบ้าง แต่ไม่ได้มาก มาย จึงไม่ถึงกับคอขาดบาดตาย เมื่อเขากำหนดกฎออกมาก็ต้องปฏิบัติ

“หากถามว่าอยากเห็นการเลือกตั้งเป็นแบบไหน ตอบว่าอยากเห็นผู้สมัครแบบไม่มีเบอร์ เพราะการมีเบอร์ทำให้ซื้อเสียงง่ายขึ้น เนื่องจากต้องไปซื้อเสียงกับผู้ที่ไม่สนใจการเมือง ถ้าบอกเพียงเบอร์ก็จะจำง่าย แต่แบบไม่มีเบอร์ต้องระบุชื่อ นามสกุล และพรรค คนขายเสียงต้องตั้งใจจำเหมือนกัน ถ้าสังเกตประเทศที่พัฒนาแล้วจะไม่ค่อยใช้เบอร์ แต่ ในอดีตเรายังกลัวคนอ่านหนังสือไม่ออก ซึ่งปัจจุบันลดจำนวนลงไปมากแล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า การที่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ระบุว่าให้เลือกทั้งคนและพรรคเบอร์เดียวกันนั้น เห็นว่าการใช้เบอร์เดียวกันจะกลายเป็นการให้น้ำหนักกับพรรค เพราะทุกเขตเบอร์เดียวกันหมด และคนอาจไม่สนใจตัวผู้สมัคร ขณะเดียวกันการกำหนดให้หมายเลขผู้สมัครคนละเบอร์ จึงเป็นการให้ความสำคัญกับตัวผู้สมัคร ไม่ให้น้ำหนักพรรค แต่ก็ไม่ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเช่นกัน ดังนั้น วิธีเดียวที่จะให้ตรงตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ คือทำแบบต่างประเทศ พิมพ์ชื่อและโลโก้หรือชื่อพรรคในบัตรเลือกตั้ง ส่วนคนที่อ่านหนังสือไม่ค่อยถนัดและต้องยึดตัวเลขจะเป็นปัญหากับวิธีที่เสนอหรือไม่ คิดว่าการพิมพ์โลโก้พรรคลงในบัตรเลือกตั้งจะช่วยลดปัญหาได้

มีชัยโต้ป้องกันเสาโทรเลขลงส.ส.

ที่รัฐสภา นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงเสียงวิจารณ์ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. เรื่องการแยกเบอร์ ผู้สมัครส.ส.รายเขตว่า มีทั้งผู้เห็นด้วยและ ไม่เห็นด้วย ใครมีความเห็นต่าง มีเหตุผล กรธ.ก็พร้อมรับฟัง ความมุ่งหมายของกรธ.คือให้การเลือกตั้งแต่ละเขตนั้น ต้องดูคน สอดคล้องกับการกำหนดคุณสมบัติส.ส.ให้เข้มข้น เพื่อป้องกันการซื้อเสียงที่หว่านกันทั้งประเทศ ไม่ให้เกิดคำพูดว่า เอาเสาโทรเลข เอาคนขับรถลงก็ได้อีกต่อไป

นายมีชัยกล่าวว่า ประชาชนจะได้เรียนรู้ ทำความรู้จักผู้สมัครในเขตของตน ส.ส.จะได้ไม่ต้องเป็นบริวารให้พรรค แล้วทำตามคำสั่งอย่างเดียว เสียงที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ มีแต่พูดถึงเรื่องความเคยชิน แต่การปฏิรูปมันใช้ความเคยชินไม่ได้ หากกลับไปใช้เบอร์เดียว ทุกอย่างจะเหมือนเดิม เลือกกันโดยไม่รู้ว่าเลือกใคร ตอนนี้เนื้อหายังไม่นิ่ง อาจสับสนกันบ้าง แต่เชื่อว่าเมื่อนิ่งแล้ว กกต.จะช่วยทำความเข้าใจกับประชาชนได้

“จะไปดูถูกประชาชนไม่ได้ การเลือกตั้งคนในเขต เขาเห็นป้ายผู้สมัคร จำหน้า จำชื่อผู้สมัครในพื้นที่ได้ หน้าคูหาก็มี ผู้คนเปลี่ยนไปเยอะแล้ว ไม่ใช่ 30-40 ปีที่แล้ว ที่อ่านหนังสือกันไม่ออก การเลือกตั้งต้องรู้ว่าไปเลือกใคร ต้องขวนขวายที่จะดูว่าใครเป็น ผู้สมัครในเขตของตนเอง” นายมีชัยกล่าว

พท.แฉคลิปขน-เวียนขายข้าว

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตรมช.เกษตรฯ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบการระบายข้าวของภาครัฐ นายสุรสาล ผาสุข อดีตส.ส.สิงห์บุรี และนายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีตส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงกรณีการขายข้าวของรัฐที่ไม่ใช่คนบริโภค พร้อมเปิดเผยคลิปการขนย้าย ข้าวที่ประมูลได้จากบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.เมือง กำแพงเพชร ไปยังบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชรว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าข้าวดังกล่าวส่อว่าจะถูกนำไปเวียนขายในตลาดสำหรับการบริโภคของคนหรือไม่ และเพื่อความชัดเจน ขอให้กระทรวงพาณิชย์ นำภาพจากกล้องวงจรปิดออกมาเปิดเผย โดยเฉพาะการใช้ข้าวที่ประมูลได้ไปดำเนินการถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่

นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ขอเรียกร้องนายกฯ ว่าเมื่อเห็นความไม่โปร่งใสชัดเจนแล้ว จะจัดการต่ออย่างไร และขอเรียกร้องไปยังบริษัทแห่งหนึ่งในอ.เมืองกำแพงเพชรให้เปิดโรงงานเพื่อแสดงข้าวที่ประมูลได้ ให้สื่อเข้าไปตรวจสอบว่าไม่ได้นำไปดำเนินการอย่างอื่นและข้าวยังอยู่ครบถ้วน

พบอีกมากไม่ชอบมาพากล

ด้านนายสุรสาลกล่าวว่า จากหลักฐานจะพบว่าการดำเนินการดังกล่าวอาจเข้าข่ายผิดเงื่อนไขสัญญาที่บริษัททำกับภาครัฐ โดยเฉพาะสัญญาที่ระบุว่าผู้ซื้อจะต้องนำข้าวสารตามสัญญาเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม โดยแปรรูปหรือทำเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เท่านั้น และจะต้องไม่นำข้าวสารดังกล่าวเข้าสู่ระบบการตลาดและการค้าปกติเพื่อการบริโภคทุกรูปแบบ ที่สำคัญผู้ซื้อต้องยินยอมให้ผู้ขายติดกล้องวงจรปิด เพื่อบันทึกภาพเคลื่อนไหวการขนย้าย การเก็บสินค้าและการนำเข้าสู่กระบวนการผลิตภายในโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผู้ซื้อจะไม่สามารถนำข้าวสารไปขายต่อให้โรงสีหรือท่าข้าวอื่นๆ หรือโรงงานอื่นๆในเครือได้ เพราะไม่ใช่คู่สัญญากับผู้ขายคือรัฐบาล

ส่วนนายสุชาติกล่าวว่า จากข้อมูลพบการนำข้าวที่ประมูลในราคาอาหารสัตว์ไปปรับปรุงคุณภาพเข้าสู่ตลาดข้าวเกิดขึ้นจริง จึงต้องเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และนายกฯ ทั้งนี้ จากข้อมูลพบด้วยว่าข้าวที่ผ่านการประมูลบางส่วนถูกนำไปจำหน่ายในตลาดแถบแอฟริกา ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก และพบอีกว่าที่อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี มีความไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะการขนย้ายข้าวในเวลากลางคืน ซึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าของโกดัง จึงไปร้องเรียนต่อสตง. แต่ก็ยังไม่คืบหน้า จึงสงสัยว่าการตรวจสอบการทุจริต ระหว่างนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และนักการเมืองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คนกลุ่มใดที่ตรวจสอบการทุจริตได้ดีกว่ากัน

ตร.ยันไม่สกัดม็อบให้กำลังใจ”ปู”

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ซึ่งศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวว่า อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ด้านการข่าว โดยเมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา มีผู้มาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ 1,000 คน ทั้งนี้ การประเมินสถานการณ์จะพิจารณาทั้งผู้มาให้กำลังใจและผู้ไม่หวังดีที่ต้องการสร้างสถานการณ์ และยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนเท่าใด แต่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่ต้องการให้เกิดเหตุไม่พึงประสงค์

รองโฆษกตร. กล่าวว่า กรณีที่มีรถรับจ้างขนคนมาให้กำลังใจนั้น ต้องดูว่ามาให้กำลังใจอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่ หากมีเจตนาบริสุทธิ์ก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่บริสุทธิ์ใจ เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ทราบเพื่อป้องกันการ กระทำผิดกฎหมาย ส่วนจะตั้งด่านเพื่อสกัดผู้ที่มาให้กำลังใจหรือไม่นั้น ทางตำรวจมีการตั้งด่านเป็นปกติอยู่แล้วเพื่อดูแลรักษาวินัยจราจร เป็นการตั้งด่านตามวงรอบของการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมตามปกติ ไม่ได้ตั้งด่านเพื่อลดทอนกำลังคนที่จะเข้ามา เพราะตำรวจไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร

ยิ่งลักษณ์กลับไปไหว้อัฐิบรรพบุรุษ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแถลงปิดคดีโครงการรับจำนำข้าวและศาลฎีกาฯนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยนายศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย ได้เดินทางกลับบ้านเกิดที่จ.เชียงใหม่ เพื่อสักการะ พระบรมธาตุดอยสุเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจ.เชียงใหม่ พร้อมไหว้ครูบาศรีวิชัยเพื่อขอพรและเพื่อความเป็นสิริมงคล

จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยนาย ศุภเสกข์ ได้เดินทางไปยังวัดโรงธรรมสามัคคี อ.สันกำแพง เพื่อไหว้อัฐิบรรพบุรุษ ทั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แวะซื้อของฝากที่ตลาดวโรรส โดยพ่อค้า แม่ค้า รวมถึงประชาชนที่เดินซื้อของในตลาดต่างเดินเข้ามาขอจับมือ สวมกอด ถ่ายภาพ พร้อมให้ กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าขอให้โชคดี

มท.ชงแต่งตั้งผวจ.-อธิบดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุม ครม. 8 ส.ค. กระทรวงมหาดไทยจะเสนอรายชื่อโยกย้ายข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง 4 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ รองปลัด เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม ผวจ.ยโสธร เป็นรองปลัด นายสุวิทย์ คำดี ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็น ผวจ.ฉะเชิงเทรา นายเกียรติศักดิ์ จันทรา วิศวกรใหญ่ กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นผู้ตรวจราชการ

“สมชัย”อัดกรธ.ไบโพลาร์

วันเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแสดงความไม่เห็นด้วยต่อกรณีกรธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดให้มีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและให้จับเบอร์ผู้สมัครรายเขต ระบุว่าวันรพีน่าจะเห็นการพัฒนาของกฎหมายในทางที่ดี เห็นการเติบโตก้าวหน้าในกระบวนการออกกฎหมายไทย แต่กลับเจอข่าวที่สะท้อนถึงความล้าหลังในกระบวนการคิดออกกฎหมายลูก

นายสมชัยระบุว่า ล่าสุดแนวคิดของกรธ.ที่ให้ผู้สมัครแต่ละพรรคไปจับสลากหมายเลขของแต่ละเขตเอง โดยเชื่อว่าจะป้องกันการซื้อเสียง และบอกว่าประชาชนจะไม่สับสน แต่แค่คิดก็สับสนแล้ว เช่น กทม.มี 30 เขต โคราชมี 14 เขต ประชาชนที่นั่งรถข้ามเขตปกครองกันไปมา คงเห็นหมายเลขและหน้าผู้สมัครแต่ละพรรคสับสนวุ่นวายกันไปหมด กกต.ในแต่ละจังหวัดต้องเพิ่มภาระในทางธุรการที่ให้ผู้สมัครมาเจอกันเพื่อจับสลาก หากถูกปิดล้อมสักที่ จนเลยเวลารับสมัครจะเป็นเหตุให้เลือกตั้งเป็นโมฆะอีก

“การรวมคะแนนทั้งประเทศของพรรคคงเขียนโปรแกรมอย่างสนุกสนานเพราะต้องเอาคะแนนเบอร์โน้นของเขตนี้มารวมคะแนนเบอร์นี้ของเขตโน้น การกำกับตรวจสอบเพื่อดูถึงความถูกต้องเป็นไปได้ยาก โอกาสผิดพลาด โอกาสถูกฟ้องร้อง โอกาสที่ประชาชนจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งก็สูงขึ้น บอกอยากให้พรรคเข้มแข็ง แต่กลัวคนเลือกเบอร์ของพรรค เช่นเดียวกับบอกว่าต้องการคนที่มีคุณสมบัติสูงมาเป็นองค์กรอิสระ แต่องค์กรหนึ่งเซ็ตซีโร่ อีกองค์กรหนึ่งให้อยู่ต่อไปจนครบวาระ เพื่อนที่เป็นแพทย์คนหนึ่งบอกผมว่า เป็นอาการไบโพลาร์ทางการเมือง” นายสมชัย ระบุ

อนุฯให้คงอำนาจสอบสวนอยู่ตร.

เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 7 ส.ค. ที่รัฐสภา นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ โฆษกคณะกรรมาธิการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม(ตำรวจ) แถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของคณะอนุกรรมการด้านการบังคับใช้กฎหมายและระบบการสอบสวนคดีอาญา ที่มีพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอเกี่ยวกับการสืบสวนและสอบสวนให้อยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต่อไป โดยให้เหตุผลว่าการสอบสวนคือการพยายามหาคนกระทำผิดและส่งฟ้องศาล ซึ่งอำนาจนี้ที่ประชุมเห็นว่า ควรเป็นอำนาจที่มีอิสระ ทำหน้าที่คล้ายศาลและอัยการ ควรมีอิสระจากผู้บังคับบัญชา ซึ่งอนุกรรมการฯเสนอว่าคนที่ทำหน้าที่ควรมีอิสระในการสั่งฟ้องไม่ฟ้องกับอัยการและศาล ต่อไป และมีระบบความก้าวหน้าของคนทำงานโดยตรงตามสายงาน ซึ่งจะต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาทำงานตรงนี้ และกำหนดเวลาในการสอบสวนเพื่อให้คดีไม่หมดอายุความ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ใช่มติที่ประชุมใหญ่

“ต้องการให้การทำงานฝ่ายสอบสวนมีความอิสระจากผู้บังคับบัญชาของตัวเอง เมื่อเขาบอกคนนี้ผิด คนนี้ถูก โดยไม่ต้องมีคนมาสั่งการจากผิดเป็นถูก โดยกำหนดหลักการเหมือนผู้พิพากษาที่มีอิสระ อยู่ภายใต้อำนาจของประธานศาลฎีกา แต่ประธานศาลฎีกาจะไปบอกว่าคนนั้นผิด คนนี้ถูกไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้เราจะพยายามวางระบบในชั้นสอบสวนให้ได้ เพราะถ้านำระบบสอบสวนไปอยู่กับอัยการ หรือกระบวนการยุติธรรมก็มีปัญหาทั้งนั้น เราจึงต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้” นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า ส่วนข้อกังวลว่าจะไม่มีความเป็นอิสระ เพราะการสอบสวนตำรวจอาจพัวพันยุ่งเกี่ยวกับการสืบสวนข้อเท็จจริงได้นั้น ตนเห็นว่าการไปจับผู้ร้าย ถ้าแยกการสืบสวนสอบสวนออกจากกัน การประสานจัดการจะทำได้ยาก จึงเสนอให้อยู่ที่เดียวกัน จึงมีความเป็นห่วงว่าจะทำให้มีอิสระได้จริงหรือไม่ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯต้องวางรายละเอียดให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 09.00 น. อนุกรรมการฯทุกชุดจะนำข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อให้ได้ข้อยุติ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน