ตำรวจเมืองเลย โร่แจง หลังมีลุงเฒ่าวัย 59 มาแจ้งความดำเนินคดี “เพนกวิน” แกนนำนักศึกษา ผิด ม.112 เผย ยังไม่มีการดำเนินคดีใดๆ จ่อดำเนินคดี คนเอาหมายมาเผยแพร่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงดึกคืนวันที่ 13 ส.ค. พล.ต.ต. วิบูลย์ วงก้อม ผบก.ภ.จว.เลย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย ผกก.สภ.เมืองเลย พร้อม พ.ต.อ.ยุทธนา งามชัด ผกก.สอบสวน สภ.เมืองเลย เปิดแถลงข่าวว่า

ยังไม่มีการลงรับหมายเลขคดี นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือ เพนกวิน และยังไม่ตั้งข้อหาใดๆ กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนคนแจ้งนำเอกสารไปโพสต์ลงเฟซบุ๊ก ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิด ส่อผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

จากกรณีพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเลย ลงบันทึกประจำวัน เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 63 เวลา 10.23 น. นายสุขสันต์ เวียงจันทร์ อายุ 59 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาที่อำเภอเมือง จังหวัดเลย เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเลย

ให้ดำเนินคดีกับนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ อายุ 24 ปี โดยกล่าวหา “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ซึ่งพนักงานสอบสวน ได้ลงบันทึกประจำวันไว้นั้น

 

พล.ต.ต. วิบูลย์ วงก้อม ผบก.ภ.จว.เลย กล่าวว่า ในช่วงที่มีการแจ้งความ เป็นตอนที่ระดับผู้บังคับบัญชา ระดับทั้งโรงพัก และภูธรจังหวัดประกอบงานราชพิธีและจิตอาสาในเนื่องวันแม่ ซึ่งพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นผู้หญิงเพิ่งย้ายเข้ามาทำงาน และได้ชี้แจงขั้นตอนของการรับแจ้งความ และการสอบสวนคดีดังกล่าว ซึ่งมีความละเอียดอ่อน

แต่ผู้แจ้งแสดงกริยาและใช้คำพูดในเชิงกดดันพนักงานสอบสวนว่า พนักงานสอบสวนต้องรับแจ้งเขา ในเรื่องที่เขามาแจ้ง พนักงานสอบสวนจึงสอบถามถึงพยานหลักฐาน ปรากฏผู้แจ้งบอกว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจจะต้องแสวงหาพยานหลักฐานเอาเอง และในวันนี้ต้องรับแจ้งเรื่องของเขาให้ได้ ถ้าไม่รับแจ้งก็จะต้องมีเรื่องมีราว พนักงานสอบสวนจึงรับแจ้งไว้เพื่อสอบสวน

ซึ่งในการสอบสวนนั้น ยังไม่มีการตัดไว้ลงเลขคดี เนื่องจากต้องสอบสวนโดยละเอียดว่ามีการกระทำเกิดขึ้นหรือไม่ หรือถ้ามีการกระทำเกิดขึ้น เป็นความผิดหรือไม่ การกระทำอยู่ในอำนาจสอบสวนของ สภ.เมืองเลยหรือไม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนจะต้องไปรวบรวมพยานหลักฐาน และรายงานผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน

ซึ่งคดีอย่างนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติวางขั้นตอนการสอบสวนไว้อย่างละเอียดอยู่แล้ว ว่ามีขั้นตอนสอบสวนไว้อย่างไร เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งไว้ก่อน แล้วค่อยไปรวบรวมหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปประกอบคดี และต้องเสนอผู้บังคับบัญชากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป

แต่ปรากฏว่าผู้แจ้งแทนที่แจ้งความแล้วจะช่วยพนักงานสอบสวนแสวงหาพยานหลักฐาน กลับเอาเอกสารไปเผยแพร่ ทำให้เกิดการสับสนในสังคมว่าได้แจ้งความแล้วจะต้องออกหมายจับ ทำให้ผู้ที่กล่าวอ้างถึงเกิดความตกใจ วิตกกังวล

ความจริงเป็นแค่พนักงานสอบสวนรับแจ้ง เพื่อจะทำการสอบสวนเท่านั้นเอง และสิ่งที่เขามาแจ้งมีการกระทำจริงหรือไม่ ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้นการกระทำดังกล่าว เป็นอาญาหรือไม่ ซึ่งยังมีหลายขั้นตอน ณ เวลานี้ยังไม่มีการขอหมายจับแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนคนแจ้งอาจส่อกระทำผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ในขบวนการสอบสวนอาจจะเชิญมาสอบถามถึงเรื่องคดีอีกครั้ง


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน