แฉสัญญาซื้อเรือดำน้ำ กองทัพเรือของเก๊ ต้องยกเลิก! คนลงนามไม่มีอำนาจ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ส.ค. มติชนออนไลน์ รายงานว่า ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรค พท. ในฐานะคณะอนุกรรมธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ICT รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน แถลงถึงกรณีการอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท

นายยุทธพงษ์ กล่าวว่า ครั้งแรกที่กองทัพเรือเข้ามา ถูกแขวนงบประมาณไว้ ไม่ให้ผ่าน เพราะ กมธ.เสียงเป็นเอกฉันท์ว่า การซื้อเรือดำน้ำยังไม่จำเป็น จนมี กมธ.ท่านหนึ่งบอกให้เสนาธิการทหารเรือถอดเครื่องแบบแล้วเดินลงไปถามชาวบ้านว่ามีคนต้องการมให้ซื้อเรือดำน้ำตอนนี้หรือไม่แต่สุดท้ายกมธ.ท่านที่พูดนี้กลับไปโหวตให้ซื้อเรือดำน้ำ แสดงให้เห็นว่า มีการล็อบบี้ สั่งการมาจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล ไม่เช่นนั้น ผลจะไม่อออกมาแบบนี้

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

วันนี้ตน ขอเปิดเอกสารว่า โครงการนี้จะจัดซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ แต่เราเพิ่งซื้อไปลำเดียวเมื่อปี 2560 ซึ่งจะได้รับเรือในปี 2567 ทาง กมธ.พยายามบอกว่า หากไม่มีสัญญาผูกพัน ลำที่ 2 และ 3 นั้น ขอให้ชะลอไปก่อนได้หรือไม่ อย่างเพิ่งซื้อแต่ทาง ทร.ก็ไม่ยอม

ทั้งนี้ เอกสารที่ตนนำมาเปิดเผยนี้เป็นการซื้อเรือแบบรับต่อรัฐ หรือจีทูจี แต่พอเปิดมาจริง ๆไม่ได้เป็นสัญญาจีทูจี แต่เป็นเพียงข้อตกลงเท่านั้น โดยสัญญาที่เซ็นไปคือ 1 ลำเท่านั้น ไม่มีข้อผูกพันใดๆ ว่าจะต้องซื้อลำที่ 2 และ 3

ไม่มีว่าถ้าไม่ซื้ออีก 2 ลำแล้วจะเกิดความเสียหายอะไร ตนจึงถามทาง ทร. ว่า ปัญหาโควิด และวิกฤตเศรษฐกิจสำคำคัญกว่าเรือดำน้ำใช่หรือไม่ ดังนั้น การจะยกเลิกการซื่อเรือดำน้ำนี้ได้ คือ สัญญาที่ลงนาม โดยฝั่งไทยคือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ซึ่งตอนที่ไปลงนามในสัญญาปี 60 นั้น เป็นเสนาธิการทหารเรือ ขณะที่ฝั่งจีนคนลงนามเป็นบริษัท ไม่ใช่รัฐบาลจีน ซึ่งตรงนี้จะกลายเป็นหนังม้วนยาว ซึ่งสัญญาดังกล่าว ทร.ปกปิดมาตลอด

ผู้ลงนามฝ่ายรัฐบาลไทยไม่มีอำนาจไปลงนาม เพราะคนที่มีอำนาจไปลงนามจีทูจีได้จะต้องเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือหากผู้ลงนามเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะต้องมีหนังสือรับมอบอำนาจจากรัฐบาลไทยไปลงนามในสัญญา ต่อมาคือ พล.ร.อ.ลือชัย ขณะนั้นตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือมีอำนาจอะไรไปลงนามแทนรัฐบาลไทย

ดังนั้น สัญญานี้ต้องเป็นโมฆะ เพราะขณะนั้นพล.ร.อ.ลือชัย ไมได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยซ้ำ และในการโหวตลงมติในคณะอนุ กมธ. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา กองทัพเรือไม่สามารถชี้แจงในประเด็นที่ตนซักถามได้เลย อ้างแต่เรื่องความมั่นคงทางทะเล ทั้งที่วันนี้ความอดอยากของประชาชนมีความสำคัญกว่า”

แต่ผมจะสู้ต่อ ไม่หยุด วันพุธที่ 26 สิงหาคม เวลา 13.00 น. ผมจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกมธ.ชุดใหญ่ พร้อมจะเสนอให้ กมธ.ชุดใหญ่ทบทวนเรื่องนี้ ไม่ให้มีการจัดซื้อเรือดำน้ำอีก 2 ลำ และจะให้กองทัพเรือเอาหนังสือมอบอำนาจจากรัฐบาล หรือที่เรียกว่าหนังสือฟูลพาวเวอร์มาแสดง ถ้าแสดงไม่ได้ สัญญาจัดซื้อตั้งแต่แรกก็ต้องเป็นโมฆะด้วย เพราะมีข้อครหาในในความไม่โปร่งใส และหาก กมธ.ชุดใหญ่ไม่ฟัง หรือดึงดันจะให้ผ่าน ตนจะเสนอให้ลงมติแบบรายบุคคล แล้วเปิดเผยรายชื่อออกมาเลย จะดูว่า มีส.ส.คนใดบ้างที่เห็นความสำคัญของการซื้อเรือดำน้ำมากกว่าความอดอยาก และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ หากโหวตแล้วยังแพ้เสียงส่วนใหญ่ในรัฐบาล ตนจะเดินหน้าฟ้องประชาชนต่อไป ให้ประชาชนสั่งสอน ส.ส.ที่ซื้อเรือดำน้ำในการเลือกตั้งครั้งต่อไป” นายยุทธพงษ์ กล่าว

นายยุทธพงษ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยบอกว่า ที่เลือกซื้อเรือดำน้ำจากจีน เพราะได้ของคุณภาพดี ราคาประหยัด ซื้อ 2 แถม 1 แล้วทำไมวันนี้ มีการแปลงมาว่าเป็นการซื้อเรือดำน้ำ 3 ลำ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ดึงดันที่จะซื้อเรือดำน้ำให้ได้ในรัฐบาลนี้ ตนฟันธงได้เลยว่า เรื่องนี้จะเป็นจุดจบของรัฐบาล

ตนท้าเลยว่า หากรัฐบาลเดินหน้าต่อเรื่องนี้ ตนก็จะขอเชิญชวนประชาชนให้ออกไปร่วมกับนิสิต นักศึกษาเยอะๆ เพื่อไล่รัฐบาล และตนขอถามนายกฯ ว่า ท่านเป็นนายกฯ ของประเทศไทย หัวใจท่านทำด้วยอะไร คนกำลังอดอยาก เดือดร้อน รัฐบาลไม่มีเงินไปช่วย แต่กลับเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำมูลค่ากว่า 22,500 ล้านบาท ทำไมท่านไม่เอาเงินตรงนี้ไปช่วยประชาชนในยามนี้ระหว่างเรือดำน้ำ กับความอดอยากของประชาชน ท่านเลือกเรือดำน้ำหรือ ถ้าท่านเลือกเรือดำน้ำ ตนจะกล่าวหาว่าท่าน เป็นนายกฯไทย หัวใจเรือดำน้ำจีน

ด้าน นายครูมานิตย์ กล่าวว่า หลังจากรู้ว่าโหวตแพ้ ตนได้ให้ที่ประชุมคณะอนุ กมธ.บันทึกการตั้งข้อสังเกตไว้เพื่อนำไปต่อสู้ในสภา ทั้งในวาระ 2 และในการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เราจะทำงานเรื่องนี้กันต่อไป เพราะดูเสมือนเป็นใบสั่ง ซึ่งตนเห็นใจเพื่ออนุ กมธ. ที่ตอนอภิปรายไม่มีใครเห็นด้วยสักคน แต่พอลงมติกลับเป็นคนละเรื่อง จนประธานอนุฯ ต้องอุทานออกมาเมื่อโหวตชนกัน 4 ต่อ 4 ว่า _ิบฉายแล้ว เพราะท่านต้องลงมติชี้ขาด ซึ่งท่านนั่งทำใจอยู่นานกว่า 20 นาที

ตนว่า วันนี้รัฐบาลป่วยแล้ว ทั้งที่เริ่มป่วยมานานด้วยเรื่องเศรษฐกิจ มาเจอม็อบ มาเจอปัญหารุมเร้า จนลืมประชาชน รัฐบาลป่วยจนต้องเตรียมโบกมือลาแล้ว ท่านดูเบลอๆ เรื่องต่างๆที่ไม่น่าเกิดก็เกิด ซึ่งในวาระ 2 ตนว่า ดีไม่ดี เพื่อนฝั่งรัฐบาลที่ไม่ได้เป็นกมธ.คณะใหญ่ และไม่ได้เป็นอนุกมธ.จะมาร่วมแจมด้วยเพระาความเป็นผู้แทนฯ ก็จะได้พิสูจน์กัน เรื่องนี้ยังไงไม่จบแน่ พวกตนเตรียมเดินหน้าต่อ

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน