วันที่ 7 ก.ย. นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีเอกสารร้องเรียนของ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) เพื่อร้องทุกข์คำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่สั่งย้ายตนเองไปเป็นผู้ตรวจการพิเศษ โดยระบุถึงสาเหตุการสั่งย้ายว่าเพราะมีความขัดแย้งภายใน เนื่องจากมีการสั่งการให้แจ้งข้อกล่าวหาฐานร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรกับกลุ่มพยานในคดีพิเศษที่ 36/2550 ซึ่งมีนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ รวมอยู่ด้วยนั้น

นายชัยเกษม กล่าวว่า เรื่องของการร้องเรียน เรื่องการถูกย้ายโดยไม่เป็นธรรมนั้น ตนคงไม่เข้าไปยุ่งเพราะเป็นเรื่องภายใน แต่หากเป็นจริงดังที่ว่าตามที่ร้องเรียนว่าเขาถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำก็จะตรงกับแถลงการณ์ที่เพื่อไทยเพิ่งออกไป คือการไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรม หรือการใช้กระบวนการยุติธรรมในทางที่ทำลายล้างฝ่ายตรงกันข้าม หรือในทางที่ไม่ถูกต้องซึ่งไม่ดีอย่างยิ่ง เพราะนี่คือกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น

ทั้งนี้ มีจุดหนึ่งในคำร้องเรียนของเขาว่าขอสั่งให้มีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม ซึ่งใครสั่งไม่รู้ เพราะในนั้นเห็นทั้งยศ พ.ต.ท พ.ต.อ.เข้าไปยุ่งเต็มไปหมด ตนไม่รู้รายละเอียดในส่วนนั้น แต่เห็นว่ามีข้อหารับของโจร ซึ่งเจ้าของสำนวนออกมาระบุว่าขาดอายุความไปแล้ว จะให้เขาแจ้งดำเนินการไม่ได้เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ก็มีคนบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเป็นระบบไต่สวน ดังนั้นให้ผู้ต้องหาเขามาแก้ตัวเอาเอง ตรงนี้มองว่าหากมองตามข้อกฎหมายแล้วชัดเจนว่าเมื่อคดีขาดอายุความแล้วจะไปทำอะไรเขาไม่ได้ ส่วนกรณีฟอกเงินเขาก็พูดคล้ายๆ กับว่ายังไม่มีอะไรที่ชัดเจน รู้สึกว่าที่ประชุมจะมีมติให้ไปหาหลักฐานเพิ่มเติม

นายชัยเกษม กล่าวว่า หลักการแจ้งข้อหานั้นมีอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีอาญาอยู่แล้ว ว่าการแจ้งข้อหาต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นจะได้กระทำความผิดตามข้อหานั้น หมายความว่าจะต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้ตามสมควรก่อน และจำเป็นก็ต้องเรียกมาสอบสวนชี้แจง เมื่อเห็นว่ามีพยานหลักฐานตามสมควรแล้วจึงจะแจ้งข้อกล่าวหาได้ ไม่ใช่มีใครมากล่าวหาอะไรแล้วไปแจ้งข้อหาได้เลยโดยที่ไม่ได้สอบสวนว่ามีมูลหรือมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ ตรงนี้ก็แสดงให้เห็นว่าคนที่รับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ ไม่ว่าจะกระทำไปด้วยตนเองหรือจะเอาใจผู้มีอำนาจ หรือถูกสั่งมาก็แล้วแต่ กำลังดำเนินการอย่างไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมตามที่สมควรจะเป็น ซึ่งสุ่มเสี่ยง หากเจ้าตัวไม่ยอมถูกย้ายแล้วไปทำตามที่ถูกให้ทำ ก็อาจจะถูกดำเนินคดีได้ เพราะคดีขาดอายุความแล้วไปฝืนแจ้งข้อหาเขา

“ในยุคที่อยู่ใต้รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร จะเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ไม่ว่าในชั้นต้นหรือชั้นสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอไปถึงชั้นอัยการ ก็มีความรู้สึกว่ามีความไม่ถูกต้องในบางส่วนค่อนข้างเยอะ น่าเป็นห่วงว่าแม้ว่าต่อไปจะหมดยุคนี้ไปแล้ว แต่คนที่ทำจนเคยชินหรือทำจนติดนิสัยก็คงจะเบี่ยงเบนการทำงานตามกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะทำ แล้วจะแก้ยาก บ้านเมืองก็จะจมอยู่ในการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ขอแสดงความเป็นห่วงตรงนี้ ซึ่งรวมถึงองค์กรอิสระด้วย” นายชัยเกษม กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน