เวทีเสวนา 6 ตุลา รำลึก ประสานเสียงเดียว ทางออกเดียวต้องแก้ รธน. ลั่น ไม่มีใครหนักแผ่นดิน เชื่อพลังคนรุ่นใหม่ เผด็จการไม่มีสิทธิบังคับ ให้ดูหนังม้วนเก่า

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 ต.ค. ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ จัดเวทีอภิปรายสาธารณะ PRIDI Talks ครั้งที่ 6 ในหัวข้อ “จากหนักแผ่นดินสู่โรคชังชาติ: ชาติ ความเป็นไทยและประชาธิปไตยที่แปรผัน” โดยมี ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ประธานกรรมการบริหารสถาบันปรีดีพนมยงค์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ปรึกษามูลนิธิปรีดีพนมยงค์ น.ส.นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส

ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายธีรชัย ระวิวัฒน์ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือไอลอว์(iLaw) เข้าร่วมเสวนา

ดร.อนุสรณ์ กล่าวในหัวข้อบทเรียนขบวนการคนหนุ่มสาว สันติธรรมประชาธิปไตย และการปราบปรามโดยทรรัฐว่า ถือเป็นโอกาสครอบรอบ 44 ปี 6 ตุลา เพื่อรำลึกถึงผู้สละชีพเพื่อบ้านเมือง ไม่ได้จัดเพื่อตอกย้ำให้เกิดความเกลียดชังกันมากขึ้น

แต่เพื่อรำลึกและไม่ให้ลืม หรือซ้ำรอยในความผิดพลาดและความรุนแรงในอดีตซึ่งเกิดจากการกระทำโดยรัฐ การปล่อยให้เกิดวาทกรรมเพื่อป้ายสีให้เกิดความเกลียดชังไม่ว่าจะเป็นหนักแผ่นดิน ขายขาติ ชังชาติ ล้วนทำให้เกิดผลตามมามากมายกระทั่งกลายเป็นความรุนแรงและนองเลือด

แต่สิ่งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงจากขบวนการหนุ่มสาวประชาธิปไตย ซึ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่อยากเห็นสังคมอุดมคติ อยากเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพที่ปราศจากการคุกคาม เป็นการเคลื่อนไหวที่มีอยู่ทั่วโลกที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงได้

แต่ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครองแบบไหนถ้าผู้นำคิดแต่จะแสวงหาอำนาจโดยไม่สนใจวิธีการ ทรรัฐย่อมเกิดขึ้นได้ ทำให้ทหารที่ออกมาเข่นฆ่าประชาชนกลายเป็นฆาตกร ทั้งที่ผู้นำที่ดีจะมองการเรียกร้องประชาธิปไตยการเห็นต่างเป็นเรื่องสวยงาม และเดินหน้าเจรจาหารือ

“ทางออกของประเทศไทยทางเดียวคือการ ‘แก้ไขรัฐธรรมนูญ’ เพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญมาจากประชาชนเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นพื้นฐานของสันติธรรมประเทศไทยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข หลายประเทศที่เคยเกิดความรุนแรงสามารถจบลงด้วยความสงบและประเทศพัฒนาได้








Advertisement

แม้การต่อสู้กับอำนาจการกดขี่อาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตพร้อมกับการเสียสละ แต่อย่าหวาดกลัวในการทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อพิทักษ์สันติธรรม เช่นเดียวกับขบวนการเสรีไทย คณะราษฎร วีรชน 14 ตุลา 6 ตุลาและพฤษภา 35 จากนี้เราเรียนรู้ที่จะสู้อย่างสันติเพื่อเอาชนะพลังแห่งความเกลียดชัง และการทำร้ายป้ายสี สู่การแก้รัฐธรรมนูญและการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน” ดร.อนุสรณ์ กล่าว

ด้าน ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่ปรึกษามูลนิธิปรีดีพนมยงค์ กล่าวในหัวข้ออยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืมว่า วันนี้เป็นวันรำลึกอดีตที่ทั้งน่าชังและลืมไม่ลง ในฐานะที่ตนอยู่ในวันมหาวิปโยกดังกล่าว 6 ตุลานับเป็นวันฆ่าสังหารหมู่ เป็นเหตุการณ์ที่รัฐใช้กำลังกับประชาชนด้วยอาวุธหนักที่น่าหวั่นวิตก เปลี่ยนจิตใจในความรักชาติไปสู่ความรังเกียจเดียดฉันท์ ขัดแย้ง

และนำไปสู่การหยุดยั้งการพัฒนาบ้านเมือง เป็นพฤติกรรมโดยผู้กุมอำนาจรัฐที่กระทำตรงข้ามกับเจตนารมณ์ประชาธิปไตยที่ประชาชนเรียกร้อง และนับเป็นสงครามกลางเมืองที่ประชาชนสู้รบกับผู้มีอำนาจมาอย่างยืดยาวมาร่วมเกือบร้อยปี เป็นการต่อสู้ทางการเมืองของระบอบใหม่กับระบอบเก่า ซึ่งคำถามคือมันจะจบลงได้จริงหรือ

“งานรำลึกในวันนี้ คนรุ่น 6 ตุลา กำลังบอกเราว่า เขาและเธอไม่ใช่คนหนักแผ่นดิน ไม่ใช่คนไม่รักชาติ ไม่ใช่จีน ญวนหรือแขก พวกเขาต้องการชาติที่ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน มีเพศสภาพใด มีผิวพรรณใด จะยากหรือจะจน มีสิทธิ์มีเสรีภาพมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เราจัดขึ้นเพื่อแสวงหาและรำลึกถึงตัวตนของพวกเขาและคนอื่นๆ รุ่นต่อไปเพื่อเดินทางไปสู่อนาคตที่ดีกว่า” ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

ขณะที่ น.ส.นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส กล่าวว่า ตนอยู่ในยุคที่ถูกเรียกว่าหนักแผ่นดิน จนกระทั่งวันนี้มาสู่คำว่าชังชาติ ซึ่งยุคหนักแผ่นดินนั้นเป็นคำชี้หน้านักศึกษาที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อเสรีภาพ ความยุติธรรมและเท่าเทียม เหมือนกับที่เยาวชนคนรุ่นใหม่กำลังเรียกร้องอยู่ขณะนี้ ซึ่งถูกตราหน้าว่าขายชาติ

สมคบคิดกับต่างชาติและนำไปสู่ความชอบธรรมในการสังหารหมู่ และใช้มาเรื่อยๆ ในการปราบปรามประชาชนที่เข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ปัจจุบันเยาวชนต่างพัฒนาและเข้าใจในความหมายของคำว่าชาติและระบอบความเป็นไปในการปกครองมากขึ้น

ขณะที่ฝ่ายผู้มีอำนาจเผด็จการจารีตแทบไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร ยังคงใช้วิธีการเดิมใส่ร้ายประชาชน ย่ำเท้าอยู่กับที่ อ้างคำว่าประชาธิปไตยเพื่อยืนยันว่าเราเป็นชาติที่มีอารยธรรม ปั้นประดิษฐ์คำขึ้นมาทำร้ายคนที่คิดไม่เหมือนพวกตัวเอง

“เราเห็นแล้วว่าประเทศกำลังพายเรืออยู่ในอ่าง เผด็จการจารีตไม่เคยพัฒนาความคิดหรือวิธีการในการจัดการคนที่คิดต่าง หรือปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องทันสมัยกับโลก คุณไม่มีสิทธิบังคับใครให้ดูหนังม้วนเก่า ไม่มีสิทธิบังคับใครให้นั่งพายเรืออยู่ในอ่างใบเดิม หรือเอากะลามาครอบใคร

วัยหนุ่มสาวมีทั้งสติปัญญา ความกล้าหาญ และเป็นผู้กำหนดอนาคตของตนเองและโลก ตนจึงมีความเชื่อมั่นในเยาวชน และขอให้กำลังใจสนับสนุนเยาวชนที่มุ่งมั่นสร้างสรรคสังคมไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์” น.ส.นิธินันท์ กล่าว


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน