จากกรณีที่ผู้ชุมนุม นัดชุมนุมในสถานที่ต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งพบว่ามีการออกคำสั่งให้ปิดสถานีรถไฟฟ้า รถใต้ดิน หลายสถานีด้วยกัน ซึ่งเป็นเหตุให้ทั้งผู้ชุมนุม และประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้ระบบคมนาคมได้ตามปกติ

ล่าสุด ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงกรณีการปิดระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาล ซึ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชน ว่าเป็นเรื่องของ พันมิตรระหว่าง นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา เอาเปรียบประชาชน และเตือนให้ประชาชนจับตาเรื่องสัมปทาน!!!

โพสต์ตอนหนึ่งระบุว่า ” ว่าด้วยการปิดบริการรถไฟฟ้าในช่วงการชุมนุม: มองความสัมพันธ์ นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา ผ่านรถไฟฟ้า ] บีทีเอสให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับคำสั่งจากรัฐบาลเผด็จการในการห้ามประชาชนเข้าสถานีรถไฟฟ้าหลายแห่งในช่วงวันเวลาที่มีการนัดหมายการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน

18 ตุลาคม ปิด 15 สถานี
17 ตุลาคม ปิดทุกสถานี
16 ตุลาคม ปิด 5 สถานี

การปิดบริการของบีทีเอสก่อให้เกิดภาระต่อประชาชนทั้งที่เดินทางไปชุมนุมและที่เดินทางสัญจรปกติ ประชาชนเดือดร้อน เสียทั้งเงินทั้งเวลาเพิ่มขึ้นในการเดินทาง ทำไมบีทีเอสจึงเลือกที่จะให้ความร่วมมืออย่างว่านอนสอนง่าย? เพราะผู้บริหารกลัวกฏหมาย? หรือเพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ?

การเดินรถไฟฟ้าในกรุงเทพเป็นธุรกิจที่อาศัยสัมปทานจากรัฐ เดิมบีทีเอสมีสัญญาในการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับกรุงเทพมหานครจากปี 2542-2572 ในปี 2555 ช่วงที่คุณสุขุมพันธ์ บริพัตรเป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพ บีทีเอสได้รับการต่อสัญญาสายสีเขียวจากกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งควบรวมสัญญาเดินรถสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1(อ่อนนุช-แบริ่ง และตากสิน-บางหว้า) ไปถึงปี 2585 โดยไม่มีการประมูลและก่อนสัญญาหลักจะหมดถึง 17 ปี

การต่อสัญญาดังกล่าวมีส่วนทำให้มูลค่าตลาดของบีทีเอสเพิ่มขึ้นจาก 44,607 ล้านบาท เป็น 104,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 หมื่นล้านบาท หรือ 134% ภายในปีเดียว ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเพียง 30.4% ในช่วงเวลาเดียวกัน(เทียบ 31 มีนาคม 2555 กับ 31 มีนาคม 2556)

เจ้าของบีทีเอสมีความมั่งคั่งมากขึ้นเป็นหมื่นล้านบาทในชั่วข้ามคืน ในเดือนเมษายน 2562 หลังการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 24 มีนาคม และก่อนการตั้งรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม คสช. อาศัยช่วงสุญญากาศทางการเมืองใช้คำสั่งมาตรา 44 เพื่อแบ่งเค้กครั้งสุดท้าย พวกเขารู้ว่าถ้าประกาศก่อนเลือกตั้งจะเสียคะแนนเสียง และถ้าทำหลังจากมีรัฐบาลใหม่ เรื่องนี้ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร

ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาศัยอำนาจเด็ดขาดตามมาตรา 44 อนุญาตให้การประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่สอง(แบริ่ง – สมุทรปราการ และหมอชิต – คูคต) ไม่ต้องเข้ากระบวนการตามกฎหมายร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ประยุทธ์เพิ่งผลักดันให้ผ่านเองในวันที่ 10 มีนาคม 2562

เรียกได้ว่าผ่านกฎหมายเอง แต่เว้นวรรคการใช้กฎหมายนั้นกับการประมูลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

นอกจากไม่ต้องเข้ากระบวนการตามกฎหมายปกติแล้ว คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับนี้ยังสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งโดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน เพื่อพิจารณาค่าโดยสารและการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างรัฐกับเอกชนทั้งสายสีเขียวเดิม รวมถึงส่วนต่อขยายที่หนึ่งและสอง หากคณะกรรมการชุดนี้ไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ให้ส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

มีการพยายามล็อบบี้กันอย่างหนักเพื่อให้บีทีเอสได้สัมปทานสายเดิมและส่วนขยายทั้งหมดโดยขยายเวลาสัมปทานไปถึงปี 2602 โดยไม่ต้องประมูล(คุณยุทธพงษ์ จรัสเสถียรจากพรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเรื่องนี้เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาในสภาแล้วอย่างละเอียด ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้)

เพราะไม่มีใครอยากเป็นผู้ตัดสินใจ คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามมาตรา 44 จึงเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีตัดสินใจเอง

คุณปรีดี ดาวฉาย รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาที่เรื่องการให้สัมปทานทั้งสายกับบีทีเอสเข้าสู่การประชุม ครม. พอดี คุณปรีดีได้ขอเอกสารไปพิจารณาก่อนตัดสินใจ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาใหม่ กลัวจะทำผิดกฏหมาย

คุณปรีดี ดาวฉาย ลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 2 กันยายน 2563 หลายฝ่ายคาดเดาว่าสาเหตุมาจากการที่เขาไม่ต้องการร่วมรับผิดชอบกับการต่อสัญญาให้บีทีเอสถึงปี 2602 โดยไม่ต้องประมูล

บีทีเอสกำลังรอการต่อสัมปทานที่สำคัญจากรัฐบาลประยุทธ์โดยไม่ต้องประมูลอยู่ ผลประโยชน์จนถึงปี 2602 อาจเป็นมูลค่าแสนล้าน เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะยืนเคียงข้างประชาชนโดยการขัดคำสั่งรัฐบาล? ……. (อ่านฉบับเต็มโพสต์ด้านล่าง)

ทั้งนี้ ตอนท้าย ธนาธร ยังระบุว่า เพราะเราไม่สนใจการเมือง ค่าโดยสารรถไฟฟ้าจึงแพง
เพราะเราไม่สนใจการเมือง สัมปทานและสัญญาจัดซื้อจัดจ้างจึงถูกหยิบยกให้นายทุนโดยไม่มีการประมูล เพราะเราไม่สนใจการเมือง เราจึงปล่อยให้เขาขูดรีดเรา

ติดตามตรวจสอบการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่าให้เขาต่อสัมปทานให้กับบีทีเอสโดยไม่มีการประมูลหรือไม่มีการเสนอเงื่อนไขอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะได้อีก พันมิตรระหว่าง นายทุน-ขุนศึก-ศักดินา เอาเปรียบประชาชนมามากพอแล้ว

อ่านฉบับเต็มด้านล่าง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน