“ยิ้มสู้” จากตุลา

เราเป็นพวกเดนตายจากการปฏิวัติ มากกว่าหนึ่งครั้งที่พระเจ้าอาจจะเอาชีวิตของเราไป แต่ก็ปล่อยให้เรารอดมาได้ สำหรับผู้รอดชีวิตอย่างเราหลังการปฏิวัติ คำถามก็คือจะดำเนินหรือเล่าชีวิตเราต่ออย่างไรจากตอนก่อน ในสภาพที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีทางเลือกอื่น เราต้องเขียนบทเอง

…อายุปูนนี้แล้ว อยู่ในช่วงเริ่มชีวิตหลังเกษียณ พวกเราคงอยู่อีกไม่นาน นั่นหมายความว่าต่อไปคงไม่มีคนอย่างพวกเราอีกแล้ว …แล้วพวกเราล่ะจะใช้เวลาที่เหลือทำอะไรŽ

เกษียร เตชะพีระ เขียนถึงมิตรสหายเดือนตุลา ในวาระ 60 ปี สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งเพิ่งผ่านไปปีเศษ จู่ๆ อ.ยิ้มŽ ก็จากไป ในขณะที่อีกไม่กี่วันจะครบ 41 ปี 6 ตุลา ท่ามกลางความเศร้าอาลัยของมิตรสหาย ลูกศิษย์ เพื่อนนักวิชาการ และมวลชนประชาธิปไตยอันไพศาล

คำถามว่าใช้เวลาที่เหลือทำอะไร ยิ้มŽ ตอบได้ทั้งผลงานวิชาการ แผนชิงชาติไทยŽ สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยŽ ที่ทำให้คนรุ่นหลังตาสว่าง

ขณะเดียวกันก็มีบทบาทคัดค้านรัฐประหารอย่างแข็งขัน ตั้งแต่ 2549 ถึงปัจจุบัน กระทั่งถูก ศอฉ.คุมตัวเมื่อปี 53 ถูก คสช.เรียกรายงานตัวเมื่อปี 57 ซึ่ง ยิ้มŽ ถือเป็นเกียรติประวัติ

ถ้าจำกันได้ ครั้งปี 53 ยิ้มอดอาหารประท้วง โฆษกไก่อูบอกว่าถ้าไม่กินอาหารจริง กินเจเล่ก็คงจะอิ่มอยู่แล้ว ยิ้มยังฟ้องไก่อู มาร์ค สุเทพ หมิ่นประมาทจากการเผยแพร่ ผังล้มเจ้าŽ กระทั่งไก่อูยอมรับว่าผังไม่เป็นความจริง จึงถอนฟ้อง (ไม่รู้ไก่อูยังจำได้หรือเปล่า)

61 ปีของยิ้ม เสียดายที่สั้นไป แต่ก็ได้ยืนหยัดในอุดมคติ ได้ต่อสู้ทั้งชีวิต สู้ด้วยความหวัง ความเชื่อมั่น ยืนเด่นโดยท้าทายŽ จนวาระสุดท้าย

กล่าวสำหรับ พวกเดนตายŽ จาก 6 ตุลา จากสงครามปฏิวัติ ที่มิตรสหายจำนวนมากพลีชีพไป แต่เรารอดมาได้ การได้ร่วมผลักดันให้สังคมเปลี่ยนอีกครั้ง เป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังอยู่แล้ว เป็นกำไรชีวิตที่ไม่เคยคิดไว้

ต่อให้ตายในยุครัฐประหาร ก็ได้เห็นสายธารประชาธิปไตย เห็นพลังที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ แม้ยังอยู่ในจุดอับเฉพาะหน้า หรือต่อให้ใครบอกว่าแพ้ ก็ชินชาซะแล้ว ได้สู้อีกครั้ง ก็ยังดีกว่าตายโดยเงียบเหงา

ว่าที่จริง พวกเดนตายŽ ส่วนใหญ่ก็คิดคล้ายกัน เห็นเพื่อนตายแล้วเข้าป่าจับปืน แม้พ่ายแพ้อกหัก คืนรังŽ แต่จะให้ละทิ้งอุดมการณ์ที่เคยพร้อมสละแม้ชีวิตได้อย่างไร แม้สังคมนิยมล่มสลาย เคว้งคว้างไร้จุดหมาย กลับมาใช้ชีวิตปกติ ยากดีมีจนแตกต่างกันไป ก็ยังแหงนมองท้องฟ้า แสงดาวแห่งศรัทธาŽ หวังเปลี่ยนโลกเปลี่ยนสังคมไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เพียงแต่ตลกร้ายที่พอความเปลี่ยนแปลงมาถึง ก็แยกย้ายกันไปอยู่ 2 ขั้ว

เกษียรเขียนไว้ว่าคนเดือนตุลา เป็นมนุษย์ที่มีประสบการณ์พิเศษ ถูกฝึกเป็นพิเศษ มีทักษะความชำนาญพิเศษ มีพลังสร้างสรรค์สูง มีพลังทำลายมาก อยู่ที่ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร เพื่อใครŽ เมื่อหมดคนรุ่นนี้ ต่อไปคงมีคนพิเศษรุ่นใหม่เกิดขึ้นอีก แต่ไม่เหมือนกัน มีจุดอ่อนจุดแข็งจุดดีจุดบอดที่ไม่เหมือนกัน

พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกตน เพราะบอกว่ามีทั้งจุดอ่อนจุดแข็ง แถมบาดแผล บวกสิ่งชำรุด แต่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมทำให้เกิดคนที่พิเศษกว่าคนรุ่นอื่น คนที่เติบโตมาในยุคแสวงหา ในจุดปะทะทางวัฒนธรรม อนุรักษนิยม เสรีนิยม ค่านิยมเก่าใหม่ เผด็จการ ประชาธิปไตย ทุนนิยม สังคมนิยม ไหว้พระจันทร์ เหยียบดวงจันทร์ ฯลฯ เทียบง่ายๆ ยุคก่อนนั้นเป็นมหาลัยลีลาศ เรียนไปเป็นเจ้าคนนายคน ยุคหลังจากนั้นเป็นมหาลัยวัยหวาน ผลิตคนป้อนทุนนิยมบริโภค

แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะสังคมผกผัน ก็เกิดคนที่ตั้งคำถาม ชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร สร้างความฝันอันยิ่งใหญ่ มอบชีวิตเพื่อเปลี่ยนโลกพลิกสังคม ซึ่งไม่ใช่เพิ่งเกิดหรอก ก่อนนั้นก็มีคนรุ่น 2475 เสรีไทย จิตร ภูมิศักดิ์ ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่น แม้เจ็บปวดพ่ายแพ้ แต่คนรุ่นตุลาก็ส่งต่อมาถึงทุกวันนี้ ถึงแม้เกิดความพลิกผัน แยกขั้วแบ่งข้าง จนถูกคนรุ่นหลังประณาม

ถามว่าวันนี้ สังคมก็มาถึงห้วงที่เกิดคนพิเศษรุ่นใหม่หรือยัง 11 ปีหลัง 2549 ผมมั่นใจว่าเกิดแล้ว แม้มีข้อแตกต่าง แต่หลายอย่างก้าวไกลกว่าเรา สายธารประชาธิปไตยแผ่ขยาย ยิ้มŽ ตายตาหลับ คนตุลากำลังจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ หรือบ้างก็ตกเวทีประวัติศาสตร์ นั่นเป็นสัจธรรม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน