สัมภาษณ์พิเศษ

รัฐบาลจะอยู่ 8 ปีด้วยซ้ำไป – นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ ‘ข่าวสด’ ถึงสถานการณ์ต่างๆ ในปี 2564 โดยเชื่อว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีพรรคพลัง ประชารัฐเป็นแกนนำรัฐบาล จะอยู่ครบวาระ 4 ปีแน่นอน และจะอยู่ยาวถึง 8 ปี เพราะเชื่อในการทำงานที่จะตอบโจทย์ประชาชนเป็น อย่างดี

มองสถานการณ์ต่างๆ ในปี 2564 อย่างไร

ปี 2563 เป็นปีที่หนักที่สุดแล้ว โดยเฉพาะสถานการณ์โรคโควิด-19 ที่เกิดทั่วโลกเป็นปัญหาใหญ่ของทุกประเทศ และมีเรื่องเศรษฐกิจตามมา ซึ่งเกิดจากการที่เราไม่สามารถเคลื่อนย้ายคนในช่วงที่มีการล็อกดาวน์ประเทศได้ ทำให้การค้าขายสะดุดลง และจำนวนเงินที่เข้ามามหาศาลจากการท่องเที่ยวในแต่ละปีก็สะดุดหยุดลง เพราะเห็นว่าการเคลื่อนย้ายคนคือการ เคลื่อนย้ายเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกจึงไม่มีการเคลื่อนย้ายผู้คน

การที่ไทยพึ่งพาเศรษฐกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวมานาน จึงได้รับผลกระทบทั้งผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นยังมีสถานการณ์ม็อบที่เป็นปัญหาในปี 2563 จึงเป็นปีที่หนักที่สุด

ส่วนในปีนี้ คงไม่มีสถานการณ์อะไรเลวร้ายไปกว่าปี ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าพล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจหลายอย่างบนพื้นฐานในวิธีคิดที่ถูกต้อง เราผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้ เป็นอันดับต้นของโลก มาจากนโยบายของนายกฯ และสามารถประคองประเทศมาได้จนปัจจุบัน ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของผู้คนบนโลกนี้

เชื่อว่าปีนี้ ถ้าสถานการณ์โควิด-19 หยุดลง ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เปรียบเรื่องภาวะทางเศรษฐกิจ หรือมูลค่าทางเศรษฐกิจที่จะมีให้กับประเทศไทย ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีการสาธารณสุข หรือมีการดำเนินการที่ดีเยี่ยมในเรื่องความปลอดภัยของโรคและการดูแล แล้วจะเกิดกระแสการรักษาสุขภาพ อาหาร และเมืองน่าเที่ยว รวมทั้งเรื่องการลงทุน

ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในปี 2564 อะไรต่างๆ ที่ปรากฏในสังคมส่วนรวมน่าจะชัดเจนมากขึ้น เรื่องความแตกแยกทางความคิดเป็นปกติทางการเมืองที่ต้องเกิดอยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้ว เรากับเขามาได้ถึงขนาดนี้ ผมเชื่อว่าความเข้าใจของคนในสังคม ความเข้าใจกระแสและบริบทของการเมืองที่แท้จริงน่าจะเกิดขึ้นอีก และรัฐบาลน่าจะทำได้ดีในเรื่องนี้มากขึ้น








Advertisement

ในฐานะที่นายกฯ ทำงานการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมา 2 ปีแล้ว และผ่านเรื่องราวรูปแบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาพอสมควร น่าจะทำได้ดียิ่งขึ้นกว่า 1-2 ปี ที่ผ่านมา

การชุมนุมอาจเป็นตัวแปรทางการเมือง

อะไรที่เห็นต่างและอยู่ตรงข้ามก็จะเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องดูเหตุและผลที่จะเกิดขึ้น อย่างที่บอกว่าการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ผมยืนยันและไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ยังจะพูดเหมือนเดิมว่า ควรจะให้รัฐบาลบริหารงานครบ 4 ปี จากนั้นเมื่อครบ 4 ปีแล้วให้ประชาชนตัดสินว่าจะเลือกใครมาปกครองประเทศและใช้อำนาจแทนประชาชน อันนี้คือเรื่องสำคัญ

ถ้าคิดในระบบเดิมๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาตลอด หากกลับไปอยู่ตรงนั้นก็จะวนเวียนซ้ำไม่จบสิ้น ชีวิต ลูกหลานในอนาคตจะพึ่งพาระบบประชาธิปไตยได้อย่างไร เมื่อประชาชนเลือกมาแล้ว แล้วมาบอกว่าต้องเปลี่ยน ต้องออก เชื่อว่าถ้าสิ่งเหล่านี้ยังเกิดขึ้น ประเทศไทยจะไม่พัฒนา เพราะจะมีผู้คนที่คิดเห็นต่างแล้วมาทำอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น หมุนเวียนสลับสับเปลี่ยนกันไป วันนี้เป็นคุณ วันนี้เป็นผม วันข้างหน้าเป็นอีกคน ไม่มีวันจบสิ้น

ถ้าจะใช้วิธีคิดในสิ่งที่เป็นระบอบประชาธิปไตยคือการที่จะดำเนินการแก้ไขทั้งรัฐธรรมนูญในสิ่งที่พอไปกันได้ตามการปกครองที่คิดว่าเมืองไทยมีเสาหลักอะไรอยู่บ้าง และจะใช้อำนาจในขอบเขตแค่ไหนอย่างไร ในเรื่องการให้อำนาจกับ ผู้บริหาร อำนาจนิติบัญญัติทางตุลาการ และองค์กรอิสระ

เรื่องพวกนี้ มาคุยกันได้ในประเด็นของปัญหาบ้านเมือง และบทสรุปต้องจบลงที่เสียงข้างมาก ในโลกนี้ไม่มีประเทศไหนที่ปกครองด้วยเสียงข้างน้อย ถ้าหาได้สักประเทศหนึ่งในโลกนี้ที่ปกครองด้วยเสียงข้างน้อย ผมจะยอม แล้วผมจะเลิกเล่นการเมืองทันที เลิกจริงๆ

มีเรื่องใดที่ต้องระวัง เพื่อให้ทำงานต่อไปได้

อยากให้นักการเมืองและคนที่อยากเป็นนักการเมือง ควรคิดเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก คือคิดถึงเรื่องระบอบที่จำเป็น ซึ่งเป็นระบอบที่ให้เสียงของประชาชนที่ต้องการ ให้มีรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งได้ปกครอง และแสดงฝีมือ 4 ปีแล้วเลือกกันใหม่ ไม่เช่นนั้นก็รบราฆ่าฟันกันไม่จบไม่สิ้น มีแต่เรื่องความแตกแยก

ถ้าในอนาคตยังเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าบ้านเมืองไม่ไปไหน การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่เกี่ยว แต่การเรียกร้องในการชุมนุมควรเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ถ้าคุณชุมนุมกันถูกต้องตามกฎหมาย ก็เป็นการชุมนุมที่เรียกร้องตามสิทธิ์ ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าการเรียกร้องและเป็นการบังคับเพื่อต้องให้ได้ 1 2 3 4 แล้วให้คนโน้นต้องออก คนนี้ต้องเข้า ผมคิดว่าไม่ใช่

เพียงแต่ใน 4 ปีถ้าคุณไม่อยากให้ใครเป็น ก็เรียกร้องให้ประชาชนอย่าให้คนนี้เป็น ต้องเคารพเสียงประชาชน เมื่อไหร่ที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่เคารพเสียงประชาชน ไม่มีวันที่ประเทศจะไปได้ ทุกคนมีความเห็นด้วยกันหมด บางคนคิดว่าอันนี้ถูกอันนี้ผิด ซึ่งความคิดเห็นมีหลากหลาย

แต่เหนืออื่นใดเมื่อประชาชนตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าบนพื้นฐานอย่างไร ถ้าเรายึด คิดถึงอนาคตก็ปรับเข้าสู่ระบอบที่ทุกคนต้องการเองในภายภาคหน้า ไม่ใช่ว่าวันนี้คิดเห็นว่าอย่างนี้ แล้วต้องให้ได้อย่างนี้

รัฐบาลต้องอุดช่องว่างอะไร เพื่อให้อยู่ครบวาระ 4 ปี

ผมเชื่อว่าตอนนี้รัฐบาลเริ่มมาถูกทางแล้ว ที่ผ่านมานายกฯ วางพื้นฐานไว้ดีในหลายเรื่อง ทั้งระบบขนส่งมวลชนที่วางไว้และคิดไม่ผิด เพราะในอนาคตลูกหลานไทยจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่สร้างไว้มหาศาล การจะคิดเรื่องโครงการระบบขนส่งออกมามาก ถ้าไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความสามารถเพียงพอ คงไม่ได้วางเครือข่ายไว้ได้มากขนาดนี้ สิ่งนี้จะเป็นอานิสงส์ในอนาคต

อีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องเผชิญต่อ แล้วนายกฯ เริ่มที่จะมาถูก คือเศรษฐกิจฐานรากที่สามารถทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศหมุนและเดินหน้า ทำให้ประชาชนมีกินมีใช้

ช่วงนี้รัฐบาลมาถูกและคิดเห็นตรงกันกับพรรคพลัง ประชารัฐ ซึ่งมีแนวทางที่ต้องการให้ประชาชนอยู่ดี กินดี

ความเห็นต่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ข้อเรียกร้องทุกอย่าง ก็เป็นข้อเรียกร้อง แต่บทสรุปต้องมาพูดคุยกัน โดยเฉพาะนักการเมือง ฝ่ายรัฐบาล ส.ว.

ผมเชื่อมั่นว่าทุกคนคิดถึงประเทศชาติและบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ฉะนั้นรัฐธรรมนูญที่ออกมาคงมีหลายส่วนประกอบ ไม่ใช่ว่าไม่มี

อะไรเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการแล้วไม่ได้ก็มีบางอย่าง เช่น จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ต้องบอกว่ามีแน่นอนคือไม่แตะต้องหมวดหนึ่ง หมวดสอง และประกาศเจตนารมณ์แล้วว่าไม่มีแก้หมวดหนึ่ง หมวดสอง

ความคิดเห็นที่แตกต่าง จะเป็นอย่างไรก็สุดที่จะห้าม แต่อยากขอร้องว่าบ้านเมืองายังมีสิ่งที่ค้ำจุน เป็นอานิสงส์ผลบุญที่ทำให้คนไทยได้มีแผ่นดินอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ อันนี้คือสิ่งที่ต้องยอมรับว่า บ้านเราไม่เหมือนกับบ้านอื่น ชาติอื่น เมืองอื่น ซึ่งมีบริบททางการเมืองในอดีตที่แตกต่างกัน เราต้องแยกสิ่งที่คุณคิดเห็นต่าง ผมอยากขอร้องให้คุณคิดอีกอย่างหนึ่ง

แต่ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทุกคนก็อาจจะเห็นดีเห็นงาม หลายเรื่องที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสังคม พวกเรานักการเมืองคิดเหมือนกันว่าอยากเห็นประเทศไปด้วยดี มีรัฐธรรมนูญที่เป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นแบบของเราควรจะมี ไม่ใช่ว่าต้องเหมือนประเทศอื่น เพราะประเทศในโลกนี้มีการปกครองที่หลากหลาย ไม่ได้เหมือนกันทั้งโลก ซึ่งเป็นบริบทของแต่ละประเทศ

ฉะนั้นจะเอาอะไรมาเป็นรูปแบบแล้วบอกว่าระบบการปกครองจะต้องเป็นแบบนี้ในโลกนี้ เป็นไปไม่ได้

ผมคิดว่าเรื่องรัฐธรรมนูญไม่ได้ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล และนักการเมืองจะตอบโจทย์สังคมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งทุกคนมีจุดยืนของตัวเองอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าสิ่งที่มีการเรียกร้อง สังคมไม่ได้ต้องการอย่างนั้นหมด มีบางข้อที่สังคมไม่ได้ต้องการ

หลายอย่างของข้อเรียกร้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของประชาชนด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร

ทุกอย่างถ้าจบด้วยการพูดคุย นั่นคือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ บอกว่า หนึ่ง สอง สาม คุณต้องได้

ฝ่ายค้านเตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ไม่มีอะไรน่าตกใจ ผมเห็นว่าที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้ การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่องปกติ เมื่อถึงยุคสมัยที่เปิดโอกาสให้สภาผู้แทนราษฎรได้อภิปรายหรือตรวจสอบรัฐบาล ก็เป็นเรื่องปกติของระบอบรัฐสภา

จากที่ผมได้ทำงานกับนายกฯ ไม่เห็นมีอะไรที่นายกฯ ทำผิดพลาด ที่ผ่านมาก็ทำในกรอบ ไม่ได้อยู่นอกกรอบ หรือนอกกฎเกณฑ์

ผมมั่นใจว่ารัฐบาลและคณะรัฐมนตรีทุกคนที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ทำงานด้วยกันมา ยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อผิดพลาดในเรื่องการทำงาน

แม้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก อาจมีเรื่องงูเห่าเกิดขึ้น

งูเห่าไม่มีแน่นอน ผมเชื่อในความ เป็นเอกภาพของรัฐบาล และมองดูแล้วว่าไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาให้เห็นแม้ แต่น้อย ยังไม่เห็นอะไรที่มองดูแล้ว ผิดแผกไปจากปกติ

ต้องเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานในรัฐบาลและในพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

ยังไม่เห็นมีอะไร หลายอย่างไม่มีการพูดคุยแสดงอะไรในเรื่องพวกนี้ ไม่มีปฏิกิริยา ไม่มีอะไรเป็นเครื่องชี้หรือส่งสัญญาณแม้แต่น้อย ผมเชื่อว่าถ้านายกฯ หรือรัฐบาลได้เดินตามคอนเซ็ปต์และความคิดที่ตั้งไว้ แล้วทำให้เกิดเป็นผลได้ตาม ขั้นตอน ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่จะอยู่บริหารงานได้ 4 ปีอย่างแน่นอน และหลังจากนี้จะมีอะไรที่ดีขึ้นๆ ในประเทศอีกมาก

ผมเชื่อมั่นในตัวนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ว่าจะสามารถปฏิบัติงานให้เกิดผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศได้

ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังไม่มีการปรับโฉมอะไร และในพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังไม่ต้องพูดคุยในเรื่องระบบการบริหารหรือการทำงานของแต่ละพรรค เพราะการเดินในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล บางครั้งก็มีขอบจำกัดในการทำงานในรูปแบบของพรรคอยู่แล้ว

การที่พรรคการเมืองจะอยู่ร่วมกับรัฐบาลหรือพรรคร่วมจะเห็นแตกต่างจากนโยบายรัฐก็คงไม่ถูกต้อง เพราะต้องไปในเนื้อเดียวกัน เมื่อคิดแล้วก็ต้องบอกกันภายใน ต้องเป็นไปในองค์รวมในฐานะพรรครัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะแตกต่างจากฝั่งฝ่ายค้าน เพราะไม่มีรัฐบาลเป็นตัวประกอบเรื่องกรอบจำกัดความคิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติของบริบทระหว่างฝ่ายค้านกับรัฐบาลที่ต่างกัน

สังเกตว่าใครที่มาเป็นรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงอะไรจะน้อย ขณะที่บทบาทของพรรคจะลดลงไปตามบริบทและตามครรลอง

เป้าหมายการทำงานการเมืองในปี 2564

ที่ผ่านมาค่อนข้างเป็นไปด้วยดี ในปีนี้ก็จะเป็นไปด้วยดี ยิ่งขึ้น

ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระ 4 ปีแน่นอน และจะอยู่ 8 ปีด้วยซ้ำไป เพราะเชื่อในการทำงานที่จะตอบโจทย์ประชาชนในอนาคต

ส่วนไฮไลต์ที่จะออกมาให้คนเห็นเรื่องพวกนี้ เอาไว้ให้ นายกฯ เป็นคนบอก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน