“บิ๊กตู่” ขอเวลาศึกษาปรับครม. ให้ใจเย็นๆ “พท.-ปชป.”หนุนปรับแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปลัดแรงงานแจงยิบ ปมร้อนจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตา ตั้ง “ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์” ประธาน กมธ.ถกร่างป.ป.ช. อสส.ตั้งทีมใหม่ ถกรื้อคดีแม้ว ส่งพิจารณาลับหลังจำเลย

ตู่ลงใต้-ขอความไว้เนื้อเชื่อใจ

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ที่ศูนย์ประสานการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังฯ จ.นครศรีธรรมราช พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวกับประชาชนที่มาต้อนรับระหว่างลงพื้นที่มอบนโยบายแก่ผู้ว่าฯ ในพื้นที่ภาคใต้ว่า ทุกคนถือว่าเป็นคนไทย ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ข้าราชการ หรือนักการเมือง ทุกคนต้องช่วยกันพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลจะวางยุทธศาสตร์ 20 ปีเพื่อพัฒนา วันนี้รัฐบาลไม่ต้องการอย่างอื่นนอกจากความไว้เนื้อเชื่อใจ เพื่อร่วมมือกันสร้างสิ่งที่ยังขาด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งอยู่เสมอว่าให้รัฐบาลดูแลประชาชนให้มีความสุข มีความพึงพอใจให้มากที่สุด ลดปัญหาที่จะมีผล กระทบต่อประชาชนโดยเร็ว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำว่า ใน 3 ประเทศที่ปลูกยางพารา เขาปรับหมดแล้ว มีแต่ของเราที่ยังปลูกยางในพื้นที่เท่าเดิม มากกว่าเดิมไปเรื่อยๆ ซึ่งต้องปรับตัว เพราะเราเจรจาไม่รู้กี่รอบแล้ว ต้องปรับเปลี่ยนไปปลูกปาล์มน้ำมันมากขึ้น ที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันที่มาก

แนะสวนยางปลูกผลไม้เสริม

“ต้องคิดถึงต้นทุนผลิต และในการแปรรูปด้วย อย่ามองว่ากำไรมาก กำไรน้อย ถ้าสมมติพื้นที่ไหนได้คุณภาพไม่เท่ากัน มีการรวมกลุ่มแล้วไปโรงงานแล้วหารเฉลี่ยออกมา ฝากไว้เป็นแนวคิด ต้องศึกษารอบบ้านเราด้วย ดังนั้น อย่าไปหลงเชื่ออะไรทั้งสิ้น เอาข้อมูลที่ผมพูดเพราะพิสูจน์ได้ ไม่ใช่พูดแต่ปากอย่างเดียวไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีรายได้สูงลำดับที่ 20 ของประเทศ เกินครึ่งปลูกยางพารา ภาคอีสานปลูกเข้าไปอีก แล้ววันหน้าจะแข่งกันอย่างไร ต้นทุนเขาถูกกว่าหรือไม่ เกิดช่องว่างระหว่างการขายกับต้นทุน จะแข่งกันอย่างไร ต้องลดลงให้ได้และต้องมีแผนสำรองปลูกผลไม้เพิ่มในสวนยาง หรือไปเลี้ยงแกะ เลี้ยงแพะ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลคิด แต่ไปบังคับไม่ได้ ทุกคนต้องสมัครใจ ทั้งเรื่องพืชเศรษฐกิจ ยาง ปาล์ม ไม้ผล ทุเรียน มังคุค เงาะ ต้องวางวงจรการผลิตแต่ละปี และถ้ารอพืชเศรษฐกิจอย่างเดียว เช่นปลูกข้าวไว้รอขาย ราคาก็ได้เท่านี้ ต้องปลูกพืชที่ขายได้ทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี นี้คือศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ปัดพูดปลดล็อก-ปรับครม.ต้องรอ

พล.อ.ประยุทธ์แถลงว่า เรื่องการเมืองอย่ามาถามตนนักเลย โดยเฉพาะเรื่องปลดล็อกพรรคการเมือง ตนรู้ข้อกฎหมาย ศึกษามาแต่ไม่ได้ไปสั่ง เขามายังไงก็ทำตามนั้น จะกี่วันก็ต้องหามาตรการผ่อนผันให้ได้ แต่เมื่อผ่อนผันไปแล้วอย่าทำให้เกิดความวุ่นวาย ทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น

“เรื่องปรับ ครม.ขอให้ใจเย็นๆ ผมเป็นคนปรับอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวใครปรับรัฐมนตรี ผมเป็นคนปรับอยู่แล้ว เปรียบเหมือนผมเป็นรัฐมนตรีอยู่แล้ว เพราะต้องศึกษางานทุกกระทรวงและให้แนวทางมอบนโยบายว่าสิ่งไหนจะคู่กัน จับต้นชนปลายให้เกิดการบูรณาการในการทำงานทั้งหมด ดังนั้น ผมจะพูดในวันนี้ไม่ได้ ทุกอย่างได้วางแผนไว้เหมือนการสั่งงานในกองทัพที่มีอยู่ 17 เหล่า ทำอย่างไรให้ไปรบกันได้และช่วยเหลือประชาชนได้ ซึ่งอยู่ที่การปฏิบัติ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ทุกอย่างต้องวางแผนเพื่อให้ผลปฏิบัตินั้นสำเร็จ ขอให้กำลังใจผู้ว่าฯ กำนัน ผู้ใหญ่ฯ อย่าไปกังวลเรื่องอื่น ขอให้เอาประชาชนไว้ก่อน โดยเฉพาะเรื่องการเมืองเอาไว้ทีหลัง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนจะไปร่วมประเพณีลอยกระทงที่กองทัพอากาศ โดยจะลอยกระทงให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต เพื่อขจัดสิ่งไม่ดีออกไป ให้สิ่งดีๆ เข้ามา ซึ่งหมอดูหลายคนทำนายว่าปลายปีจะดีขึ้น คนไม่ดีจะหายไป ส่วนตัวมองว่าโดยพื้นฐานอยากเป็นคนดี แต่ด้วยอะไรหลายอย่างหรือสิ่งที่ไม่ได้ตักเตือน หรือละเลยกัน

ขอปรองดอง-เปิดใจหากัน

ค่ำวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า งานพระราชพิธีถวาย พระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างวันที่ 25-29 ต.ค. เป็นช่วงเวลาสำคัญทางประวัติ ศาสตร์ ซึ่งเราทุกคนได้ร่วมกันอย่างดีที่สุด ทุกภาคส่วนได้แสดงออกถึงความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลและรู้จักให้ อภัยกัน อีกทั้งก้าวข้ามความขัดแย้งต่างๆ ในอดีต

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า เราจำเป็นต้องรักษาบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ของคนในประเทศไว้ให้ได้ต่อไป เป็นพลังของแผ่นดินสำหรับการเดินหน้าประเทศสู่ความเป็นประชาธิปไตย บนพื้นฐานของความเป็นไทย และการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้ศาสตร์พระราชา และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ ทั้งนี้ กุญแจที่จะไปสู่ความสำเร็จคือความปรองดองของคนไทย หมายถึงการเปิดใจเข้าหากัน ขัดแย้งได้ในหลักการแต่ต้องทำงานร่วมกันได้ เอาความคิดเห็นต่างๆ มาหาความร่วมมือกันให้ได้ อันไหนที่ขัดแย้งมากๆ ก็ตัดทิ้งไปก่อน เราต้องคำนึงถึงส่วนรวม สังคมและประเทศชาติมาก่อนเสมอ

หึ่ง”ดร.อ.”ผู้ประสานแก้แรงงาน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า จากกรณี พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจาก รมว.แรงงาน กะทันหัน ทำให้มีกระแสวิจารณ์ว่า สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งเรื่องการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตา สำหรับจัดเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าว ระหว่างผู้มีอำนาจในกระทรวง กับ ดร.อ. คนสนิทผู้มีอำนาจในรัฐบาล โดยอาจเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษานายกฯ ชุดที่ถูกตั้งขึ้นเมื่อปี 2557 เมื่อครั้งที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นประธานที่ปรึกษานายกฯ (ตำแหน่งในขณะนั้น)

รายงานข่าวระบุด้วยว่า ทั้งนี้ ดร.อ.ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานเกี่ยวกับนโยบายด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แรงงานต่างด้าว การแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งต้องทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงกระทรวงกลาโหมด้วย โดยนโยบายดังกล่าวถือเป็นนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลภายใต้กำกับของคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นประธาน

ปลัดแรงงานโต้วุ่น”จัดซื้อ”

นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าการใช้มาตรา 44 ย้ายอธิบดีกรมจัดหางาน เนื่องจากไม่สนองนโยบายเรื่องการจัดซื้อเครื่องสแกนม่านตาเครื่องละ 1 แสนบาท วงเงิน 1 พันล้านบาท โดยระบุถึงที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีมาเป็นคนประสานงานว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง การโยกย้ายเป็นเรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนเครื่องสแกนม่านตาราคาเครื่องละ 1 แสนบาทไม่มีตัวเลขการจัดซื้อถึง 1 พันล้านบาทดังที่มีการให้ข่าว ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงของการหารือกันในระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการต่างๆ เป็นมติของที่ประชุมไม่ใช่ความเห็นของใคร

“การระบุกล่าวหาดังกล่าวน่าจะเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นไปจากปัญหาประสิทธิภาพในการทำงาน หากจะมีการทุจริตผมในฐานะปลัดกระทรวงแรงงานไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้วและผมต้องรับผิดชอบ” นายจรินทร์กล่าว

ชี้คำสั่งคสช.มุ่งประสิทธิภาพ

ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าวว่า ที่เห็นได้ชัดว่าการโยกย้ายเป็นปัญหาเรื่องประสิทธิภาพ ในการทำงาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับระบบการเก็บข้อมูลแรงงานต่างด้าว ก็คือ หลังจากมี คำสั่งโยกย้ายได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 49/2560 เรื่องการพิสูจน์ตัวบุคคลของแรงงานต่างด้าวตามออกมาโดยให้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาการเก็บข้อมูลพิสูจน์ตัวบุคคลของแรงงานต่างด้าว ใน 22 จังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเล คือ จ.กระบี่ จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชุมพร ตราด ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ ปัตตานี พังงา เพชรบุรี ภูเก็ต ระนอง ระยอง สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และสุราษฎร์ธานี เพื่อสร้าง ระบบตรวจสอบและยืนยันอัตลักษณ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับแรงงานภาคประมง ซึ่งมีปัญหาลายนิ้วมือลบเลือนจากการทำงานในเรือประมง จึงต้องใช้วิธีการสแกนม่านตา

แจงปมเครื่องสแกนม่านตา

นายจรินทร์กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีระบบยืนยันอัตลักษณ์ที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีระบบพิสูจน์ตัวตนว่ามาจากไหน อยู่ที่ไหน เคยให้กรมการปกครองมาช่วย ทำเลขประจำตัว 13 หลัก ทำไปแล้วก็พิสูจน์ไม่ได้อีก ประกอบกับที่ผ่านมาแรงงานประมงใช้บัตรชั่วคราวที่เรียกว่าบัตรสีชมพู ซึ่งจะหมดอายุในเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งจะต้องมาทำเวิร์กเพอร์มิตกับกรมการจัดหางานอยู่แล้ว ทางรัฐบาลเลยมอบหมายให้จัดทำสแกนม่านตาประกอบไปเลย ซึ่งขณะนี้เครื่องสแกนมี 30 เครื่อง เป็นของกรมเจ้าท่า ส่วนตัวเลขแรงงานต่างด้าวที่ทำประมงมี 7-8 หมื่นคน จึงมีการแจ้งไปว่าหากทำไม่ทันให้ขอการสนับสนุนได้ ราคาเครื่องสแกนเครื่องละ 1 แสนบาท เป็นเครื่องเล็กๆ คล้ายเครื่องตรวจวัดสายตา เราทำหน้าที่สแกนข้อมูลไว้ ส่วนการประมวลผลต้อง ให้หน่วยงานอื่นเข้ามาช่วย อย่างสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์

นายจรินทร์กล่าวด้วยว่า นโยบายขณะนี้ชัดเจนว่าหลัง 31 มีนาคม 2561 ต้องไม่มีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในประเทศไทยอีก เพราะฉะนั้นการวางระบบพิสูจน์อัตลักษณ์ ของแรงงานจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ว่าจะใช้วิธีการสแกนใบหน้า ลายนิ้วมือ หรือวิธีการ อื่นๆ และต้องนำหน่วยงานต่างๆ เข้ามาช่วย นอกเหนือจากกรมการจัดหางาน และกรม เจ้าท่าที่ดำเนินการอยู่เดิม ดังที่ปรากฏในคณะกรรมการพิจารณาการเก็บข้อมูลพิสูจน์ตัวบุคคลของแรงงานต่างด้าว

เจี๊ยบยันรมต.มีประสิทธิภาพ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกฯ กล่าวถึงการพิจารณาปรับครม.ว่า การปรับครม.หรือไม่อย่างไร เป็นเรื่องของนายกฯ ตัดสินใจ ส่วนงานที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ กำกับดูแลของตนนั้น รัฐมนตรีทุกคนยังมีประสิทธิภาพในการทำงาน

เมื่อถามถึงความเร่งด่วนที่จะต้องปรับครม. พล.อ.ธนะศักดิ์กล่าวว่า การดำเนินงานของกระทรวงไม่น่ามีปัญหา เพราะมีรัฐมนตรีกำกับดูแลต่อเนื่องอยู่แล้ว เป็นไปตามลำดับที่ครม.เคยมีมติอนุมัติ เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งรัฐมนตรีที่จะมารักษาการกระทรวงแรงงาน คือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนปัญหาการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ต้องทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้ เชื่อว่าน่าจะเดินหน้าต่อได้โดยไม่มีปัญหา

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช. กล่าวถึงกระแสข่าวปรับครม.โดยจะปรับลดรัฐมนตรีจากทหารว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ส่วนการปลดล็อกทางการเมืองนั้น คสช.ยังไม่ได้หารือกัน ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ได้ชี้แจงไปแล้วซึ่งเป็นไป ตามนั้น

พท.เย้ยปรับครม.แค่ผลัดกันชม

ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การปรับครม.ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์คงไม่มีผลต่อการบริหารประเทศ เพราะจะปรับหรือไม่ปรับก็มีค่าเท่ากัน การจัดโผครม.คงเป็นเรื่องสมบัติผลัดกันชม ที่ผ่านมารัฐบาลนี้ก็ไม่มีผลงานเป็นรูปธรรมให้ประชาชนจับต้องได้ เห็นมีแต่ข่าวซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ซื้อเครื่องตรวจจับความเร็ว ที่ถูกวิจารณ์ว่าราคาแพงเกินความจำเป็น ทำให้เสียวินัยการเงินการคลังของประเทศ และการใช้อำนาจพิเศษ ตามมาตรา 44 สั่งย้ายข้าราชการที่ไม่สนองนโนบายของผู้มีอำนาจ

ร.ท.หญิงสุณิสากล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลควรทำไม่ใช่แค่ปรับ ครม. แต่ควรรีบคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดกรอบเวลาไว้ชัดเจนแล้ว แต่รัฐบาลทำท่าจะยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด เหมือนเสียดายอำนาจ และอยากสืบทอดอำนาจต่อไป น่าสังเกตว่าพอมีข่าวว่าจะมีการเลือกตั้งในปีหน้าตามโรดแม็ป ก็มีเสียงตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หุ้นขึ้น แสดงว่านักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศหากกลับคืนสู่วิถีทางประชาธิปไตย ผิดจากคราวนี้แม้จะมีข่าวปรับ ครม.แต่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กลับไม่ตื่นเต้น เหมือนว่าจะปรับ ครม.หรือไม่ปรับก็มีค่าเท่ากัน ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ตรงข้ามกลับมีแต่เสียงซุบซิบนินทา อยากรู้ว่าอธิบดีหรือรัฐมนตรีไปทำอะไรผิดใจใครถึงไขก๊อก หลังผ่านพ้นช่วงปรับครม.ไปแล้ว จะจัดซื้ออะไรแพงๆ อีกหรือไม่

วรชัยหนุนปรับแก้ปากท้อง

นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรค พท. กล่าวถึงกระแสข่าวปรับครม. ว่า เชื่อว่าทุกคนรอคอยให้ พล.อ.ประยุทธ์ปรับครม. เพราะหากรัฐมนตรีทำงานได้ดี มีประสิทธิภาพ ก็คงไม่ต้องปรับออก แต่ขณะนี้รัฐมนตรีหลายคนที่โลกลืม ไม่มีผลงาน หากพล.อ.ประยุทธ์อยากรู้ว่าควรปรับรัฐมนตรีกระทรวงใดออกบ้าง ให้โพลที่ชอบสนับสนุน ออกไปสำรวจความเห็นของประชาชนว่าอยากให้ปรับรัฐมนตรีคนใดออกบ้าง ทั้งนี้มองว่ากระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจปากท้องของประชาชนยังมีปัญหามาก ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ประชาชนลำบาก หากยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ควรตัดสินใจปรับรัฐมนตรีออก ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง และเอาคนที่มีความรู้ ความสามารถ ขยันขันแข็งเข้ามาทำงานแทน

“ผมมองว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนขยัน เอาการเอางาน จึงอยากให้นำคนที่ขยันเหมือนท่านเข้ามาทำงาน เร่งแก้ปัญหาโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจลดช่องว่างคนรวยกับคนจนให้ได้” นายวรชัยกล่าว

สมคิดจี้ใช้รธน.ที่เขียนมา

นายสมคิด เชื้อคง อดีต ส.ส.อุบลราชธานี พรรค พท. กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ พูดถึงนักการเมืองในทำนองจะเป็นจะตายหรืออย่างไรที่เรียกร้องให้ปลดล็อกเพื่อทำกิจกรรมทางการเมืองว่า ขอบอกว่านักการเมืองไม่มีใครจะเป็นจะตาย แต่ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรกำลังจะตาย ชาวไร่ชาวสวนเขาสาหัสแค่ไหน อย่าหลอกตัวเองอยู่เลย วันนี้บ้านเมืองมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เขาลำบากกัน ทางออกคือควรให้มีการเลือกตั้ง และกำหนดให้ชัดเจน

นายสมคิดกล่าวว่า การที่นายกฯ พูดจาเชิงดูถูกนักการเมืองนั้นคงห้ามไม่ได้ เพราะความรู้สึกไม่เหมือนกัน คนที่ขี่คอประชาชนก็คิดอีกอย่าง คนที่มาจากการเลือกตั้งก็คิดอีกอย่าง แต่ที่สุดอยู่ที่นิสัยของแต่ละคน ที่นักการเมืองเรียกร้องเพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีผลบังคับใช้แล้ว เขาเรียกร้องให้พวกกุมอำนาจทำตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้นจะมีรัฐธรรมนูญที่พวกกุมอำนาจเขียนขึ้นมาเองทำไม ไม่อยากทำตามตามกฎหมายก็แล้วแต่พวกคุณ แต่อย่ามาถือโอกาสด่าว่าอีกฝ่าย ระวังนิ้วที่ชี้ด่าคนอื่น แต่มันจะพุ่งเข้าหาตัวเอง

ปชป.หนุนปรับครม.แก้”ศก.”

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงการปรับครม.ว่า เนื่องจากมีรมว.แรงงานลาออก คงเป็นจังหวะเหมาะสมที่นายกฯ ควรปรับครม. เพื่อให้การทำงานดีขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ารัฐบาลถูกวิจารณ์เรื่องการบริหารงานพอสมควร โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ดังนั้นรัฐบาลควรปรับครม. เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีขึ้น

“ควรปรับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนมีความเดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ ค้าขายฝืดเคือง ดังนั้น กระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ควรต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลง ส่วนจะแค่ไหนอย่างไร อยู่ที่ นายกฯ ซึ่งหวังว่าการปรับครม.ครั้งนี้ นายกฯ จะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าของเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างเดียว” นายองอาจกล่าว

จุติแนะตู่เปิดฟังประชาชนโดยตรง

นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค ปชป. กล่าวถึงการปรับครม.ว่า นายกฯ ควรประเมินจากผลงาน โดยไม่ใช้อารมณ์ น่าจะยุติธรรมที่สุด เพราะทุกวันนี้มีการใช้อารมณ์กันมาก การปรับครม.ครั้งนี้ ไม่ว่าจะปรับใหญ่หรือเล็ก นายกฯ จะรู้เองว่ารัฐมนตรีคนไหนทำงานตามเป้าที่สั่งหรือไม่ นักวิจารณ์ทั้งหลายควรเคารพดุลพินิจของคนที่นั่งหัวโต๊ะ ใครผลงานไม่ดีก็ฟ้องชัดๆ อยู่แล้ว และควรเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมประเมินผลงานรัฐบาล โดยในช่วงปีใหม่ นายกฯ ควรเปิดรับเรื่องราวร้องทุกข์ทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องผ่านรัฐมนตรี

นายจุติกล่าวต่อว่า ฝากเป็นโจทย์ให้ปรับเครื่องมือวัดดัชนี ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของกระทรวงการคลัง พาณิชย์ และเกษตรฯ เพราะที่ผ่านมาไม่แม่นแล้ว เช่น บอกว่าเศรษฐกิจดีแล้ว แต่ชนชั้นล่างมีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในรอบ 10 ปี จีดีพีการเกษตรเพิ่มขึ้นแต่เกษตรกรไม่เคยมีสภาพเศรษฐกิจดีคนระดับล่างยังรู้สึกว่าแย่ อยากให้นายกฯ ไปบอกทั้ง 3 กระทรวงให้ปรับวิธีชี้วัด ประเมินเศรษฐกิจใหม่ เพราะไม่สะท้อนภาพที่เป็นจริง

ตั้งกมธ.ศึกษาร่างปปช.

ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ได้ประชุมครั้งแรกเพื่อหารือถึงแนวทางการทำงาน โดยมีความเห็นชอบให้พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธาน กมธ.

จากนั้นเวลา 11.30 น. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. กล่าวภายหลังการประชุม กมธ.ว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการป.ป.ช.ได้เสนอความเห็นขอแก้ไขร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. มายังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หลายประเด็น ซึ่ง กรธ.แก้ไขให้ในหลายประเด็น แต่มีบางเรื่องที่ กรธ.ยังไม่ได้แก้ไขให้ ดังนั้น จะนำมาพิจารณาในที่ประชุม กมธ.แทน เชื่อว่าที่สุดแล้วการทำงานไม่น่าจะมีปัญหา เพราะทั้งป.ป.ช.และ กรธ.ต่างมีเจตนารมณ์เดียวกัน คือได้กฎหมายที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน

ปปช.ไม่ขัด”พัชรวาท”นั่งกมธ.

พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า แม้ว่าร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.จะมีเกือบ 200 มาตรา แต่เชื่อว่าเวลาที่เหลืออยู่ 58 วันจะพิจารณาได้ทัน เพราะที่ผ่านมามีการจัดทำกฎหมายปราบปรามการทุจริตมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็คงหลักการเดิม เพียงแต่ในปัจจุบัน กรธ.ได้บัญญัติหลักการใหม่ ทำให้ต้องพิจารณากันอีกครั้ง

เมื่อถามถึงรายชื่อ กมธ.ที่มีพล.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.และสมาชิก สนช. และพล.ต.ท.บุญเรือง ผลพาณิชย์ สมาชิก สนช. ที่ถูกป.ป.ช.ไต่สวนกรณีร่ำรวยผิดปกติ จะมีความเหมาะสมหรือไม่ พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า เป็นเรื่องการกล่าวหาตามกระบวนการ และอยู่ในขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริงเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นตอนไต่สวน

“แม้จะเป็นขั้นตอนไต่สวน แต่หลักการของป.ป.ช.คือทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกฎหมาย ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น เราตั้งคนไต่สวนเกือบ 3 พันเรื่องและเป็นบุคคลระดับผู้ใหญ่ทั้งนั้น ทุกคนยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และการเข้ามาเป็น กมธ.เพื่อพิจารณากฎหมายที่สนช.ตั้งขึ้น โดยไม่ได้เกี่ยวกับคดีที่อยู่ในการตรวจสอบของป.ป.ช.” พล.ต.อ.วัชรพลกล่าว

ปชป.ชี้พัชรวาทยื่นลาเหมาะสมกว่า

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรค ปชป. กล่าวถึงสนช. ผ่านวาระแรกร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช. โดยตั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นกมธ.วิสามัญ ทั้งที่ถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบจากข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติว่า เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่สนช.ที่เสนอชื่อคงไม่รู้ว่าคนที่ได้รับการเสนอชื่อนั้นมีคดีหรือถูกสอบสวนอยู่ที่ไหน เขาอาจมองแค่ว่าพล.ต.อ.พัชรวาท เคยเป็น ผบ.ตร.มาก่อน และรู้เรื่องการสอบสวน เลยเหมาะสมที่จะเป็น กมธ. ดังนั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของคนที่ถูกเสนอชื่อ ซึ่งเขาควรจะรู้ตัวเอง ถ้าเขามีความบริสุทธิ์ใจจริงก็ไม่น่าจะรับการแต่งตั้งนี้ เพราะถือว่าเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน

นายวิลาศกล่าวว่า การที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เข้ามาเป็นกมธ. คงไม่ส่งผลกับขั้นตอนการพิจารณากฎหมาย และกฎหมายคงจะผ่านการพิจารณาของสภาไปได้ตามขั้นตอน แต่จะทำให้กฎหมายที่ควรจะขาวสะอาดมีจุดด่างพร้อยขึ้นมา จะเป็นข้อวิจารณ์จากสังคมได้ว่าการพิจารณาในขั้นกมธ. มีการต่อรองกันหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ตนเห็นว่าไม่ควรจะเกิดขึ้น ถึงแม้วันนี้เรื่องที่พลต.อ.พัชรวาท โดน ป.ป.ช.สอบอยู่จะเป็นดำหรือเป็นขาวก็ไม่มีใครรู้ แต่เพื่อให้กฎหมายนี้มันขาวล้วน ก็ไม่ควรรับตำแหน่ง จึงคิดว่าถ้าพล.ต.อ.พัชรวาทลาออก ไม่เห็นจะเสียหาย แต่จะได้รับการชื่นชมจากสังคมด้วยซ้ำ เรียกว่าอยู่ดีๆ เขาจะได้คะแนนด้วย

อสส.ตั้งทีมรื้อคดี”คตส.-ปปช.”

วันเดียวกัน นายวันชาติ สันติกุญชร อธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เปิดเผยว่า อสส.มีคำสั่งที่ 1621/2560 ลง วันที่ 27 ต.ค. 2560 แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดี ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และสำนวนคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ที่ดำเนินการต่อจาก คตส.แล้วส่งให้สำนักงาน อสส. หรือ อสส.พิจารณา โดย คำสั่งดังกล่าวมีนายพรศักดิ์ ศรีณรงค์ รอง อสส. เป็นประธานคณะทำงาน, นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นคณะทำงานและเลขานุการ โดยมีนายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อัยการอาวุโส เป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน เนื่องจากได้โยกย้าย ปรับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ของคณะทำงานเดิมหลายคน จึงจำเป็นต้องยกเลิกคำสั่งเดิม หรือคำสั่ง อสส. ที่ 168/2557 ลงวันที่ 10 ก.พ. 2557 และให้ใช้คำสั่งนี้แทน

นายวันชาติกล่าวว่า คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานดังกล่าวเพื่อพิจารณาคดีแบบกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงว่าคดีมีผู้ต้องหาเป็นใคร เพราะเมื่อกฎหมายเปลี่ยนให้พิจารณาคดีลับหลังได้แล้ว กรรมการชุดนี้จะต้องนำคดีที่ค้างอยู่ขึ้นมาพิจารณาเป็นเรื่องๆ ว่ายังมีคดีใดคงค้างอยู่ เป็นการทำไปตามหน้าที่ ส่วนจะมีคดีอะไรบ้างต้องดูความคืบหน้าของคณะทำงาน และทางทีมโฆษก อสส.จะแจ้งความคืบหน้าให้ทราบต่อไป คาดว่าจะมีความชัดเจนขึ้นจากการประชุมของคณะทำงานในสัปดาห์หน้า

เลือกคดีแม้วส่งพิจารณาลับหลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อัยการอาวุโส ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะทำงานนั้น เคยเป็นคณะทำงานคดีที่ อสส.ร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นของแผ่นดินรวมทั้งในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

รายงานข่าวแจ้งว่า คณะทำงานดังกล่าวจะพิจารณารายละเอียดข้อกฎหมายคดีว่ามีคดีใดบ้างของนายทักษิณ ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลพิจารณาคดีลับหลังได้ เเละข้อกฎหมายรวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ก่อนยื่นให้ อสส.พิจารณา สั่งการ

 

 

 

 

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน