คอลัมน์ วิเคราะห์การเมือง
กรณีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ทำให้ประเด็น “วัคซีน” กลายเป็น “คำถาม”
ไม่เพียงเพราะ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้มีการฉีดวัคซีนมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดก็ดันไปติด “โควิด” เสียก่อน
หากแต่ยังเป็นคำถามถึงความจำกัดของ “วัคซีน”
การแทงม้าเพียง 2 ยี่ห้อจากจีนและจากอังกฤษ โดยไม่พยายามที่จะสร้างสันถวมิตรอันสนิทสนมกับยี่ห้ออื่นๆอันมีอยู่ไม่น้อยอาจกลายเป็นข้อจำกัด
เข้าลักษณะ “แทงม้า” เพียง 2 ตัวเท่านั้น
“ปฏิกิริยา” ที่กำลังเป็นคำถามขณะนี้เริ่มมีการเสนอประเด็น“วัคซีนเสรี”
เพราะตระหนักว่าในโลกนี้มิได้มีวัคซีนเพียง 2 ยี่ห้อ หากแต่มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ยี่ห้อ ไม่ว่าจะมาจากสหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ หรือรัสเซีย
ยิ่งกว่านั้น “องค์การอนามัยโลก” ยังมีโครงการ “โคแว็กซ์”
คำถามยังเป็นคำถามเดิมว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงผูกขา มัดแขนของตัวเอง ไม่ยอมเข้าในโครงการขององค์การอนามัยโลก ไม่ยอมต่อสายไปยังวัคซีนยี่ห้ออื่น
แม้กระทั่งมีข้อเสนอจาก “นักธุรกิจ” ก็ยัง “ปฏิเสธ”
ต้องยอมรับว่านักธุรกิจในภาคเอกชนพยายามจะเรียกร้องให้มีการนำเข้าเปิดกว้าง
ไม่เพียงเพราะ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยตั้งเป็นคำถาม หากต่อมา นายทักษิณ ชินวัตร ยังนำประสบการณ์จากต่างประเทศมาแสดงให้เห็น
จึงมีข้อเรียกร้องที่ “ภาคเอกชน” จะเข้ามาแบ่งเบาภาระ
แต่แล้วรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขก็ยังไม่ยอมเปิดกว้าง ยังไม่ยอมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อกรกับไวรัสโควิด-19 ด้วยอีกแรงหนึ่ง
ทั้งๆ ที่รัฐเองก็มิอาจต้านยันไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เชื่อได้เลยว่าหลังกรณี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กระแส “วัคซีนเสรี” จะกระหึ่ม
เพราะเห็นแล้วว่าผลงานรัฐบาลที่ดำเนินการจากเดือนเมษายน 2563 ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินมายังเดือนเมษายน 2564 เป็นอย่างไร
ฝีมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่าแน่ๆกรณี “ศักดิ์สยาม” ก็เด่นชัด