พท. จัดเสวนา “วิกฤต” และ “ทางออก” โควิดระลอก 3 ด้านรองหัวหน้าพรรค “พิชัย” ซัด “บิ๊กตู่” ขาดวิสัยทัศน์ – ไม่มีหัวคิดทางการค้า ต้องให้ด่าถึงทำ

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 เม.ย. ที่พรรคเพื่อไทย มีการจัดเสวนาหัวข้อ “วิกฤต” และ “ทางออก” โควิดระลอก 3 โดยนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวตอนหนึ่งว่า การเติบโตของจีดีพีของไทย ตอนแรกเรามีความหวังว่าจะมีการเติบโตได้ในไตรมาส 2 แต่พอเจอโควิดช่วงสงกรานต์ก็ดับฝัน โอกาสในปีนี้จีดีพีจะโตไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ และอาจติดลบได้ด้วย

ปีที่ผ่านมาไทยติดลบ 6.1 เปอร์เซ็นต์ ปีนี้ก็ไมน่าจะรอด เนื่องจากการบริหารที่ย่ำแย่มาตลอดของรัฐบาล นอกจากนี้ การระบาดทั้ง 3 ครั้ง มาจากคนของรัฐบาลทั้งสิ้น ตั้งแต่เหตุการณ์สนามมวย การเปิดบ่อนพนัน การขนแรงงานเถื่อน และล่าสุดหนักสุดที่คนเชื่อกันว่ามี ครม. เข้าไปเที่ยวกันหลายท่าน เรื่องของการที่มี ครม.เข้าไปเที่ยวสถานที่อโคจรปัจจุบันยังไม่มีการชี้แจงชัดเจน

“ปัญหาเกิดจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารจัดการประเทศแบบไม่ด่าไม่ทำ พอด่าถึงทำ ขาดวิสัยทัศน์อย่างรุนแรง แทนที่จะคิดล่วงหน้า เช่น เรื่องวัคซีนพรรคเพื่อไทยเตือนมาตลอด พอถึงตอนนี้ล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด วัคซีนไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณสุข แต่วัคซีนจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจด้วย นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีหัวคิดทางการค้า ปล่อยให้เอสเอ็มอีเจ๊งไปเรื่อยๆ ธุรกิจใหม่ก็ไม่มี ประเทศจะไม่เจ๊งได้อย่างไร” นายพิชัย กล่าว

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ตนขอเสนอ 6 แนวทางฟื้นเศรษฐกิจ คือ

1.การเยียวยา แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลมีหนี้เยอะ แต่ต้องแยกกันระหว่างเรื่องนี้กับการเยียวยาประชาชน ภาวะที่ย่ำแย่ประชาชนต้องได้รับการดูแล ตนเสนอให้เยียวยา 5 พันบาท เป็นเวลา 3 เดือน ถ้าไม่ทำประชาชนอาจจะตายมากกว่าโควิด พอเยียวเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกไปได้แล้ว เพราะท่านหมดสภาพในการบริหารประเทศแล้ว

2.การจัดหาวัคซีนให้เข้ามาโดยเร็ว เราจะเห็นว่าประเทศต่างๆในยุโรปมีการนำเข้าวัคซีนได้จำนวนมาก หรือแม้แต่ญี่ปุ่นผู้นำเขาก็โทรศัพท์ไปขอซื้อวัคซีนไฟเซอร์ได้ แต่รัฐบาลไทยไม่ทำ ถ้าวัคซีนไม่เกิดเศรษฐกิจไม่ฟื้น

3.การช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพื่อรักษาของเก่า เนื่องจากรัฐบาลไม่มีปัญญาสร้างของใหม่

4.การแก้ปัญหาเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะมีปัญหาเยอะมาก เราก็ไม่ต่างอะไรจากเมียนมาร์รัฐธรรมนูญไทยบางเรื่องยังแย่กว่ารัฐธรรมนูญของเมียนมาร์เสียอีก รัฐธรรมนูญเมียนมาร์ยังแต่งตั้งแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ของไทยมี ส.ว. โหวตนายกฯ ถึง 1 ใน 3

5.การสร้างความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์ หมดทางสร้างความมั่นใจแล้ว 7 ปีที่ผ่านมาล้มเหลว การจะสร้างความมั่นใจได้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องออกไป ภาพของเราไม่ได้ต่างจากเมียนมาร์ ยึดอำนาจสืบทอดอำนาจต่อไปเรื่อยๆ การสืบทอดอำนาจไม่สามารถสร้างความมั่นใจได้

และ 6.การสร้างบรรยากาศที่ดีให้กลับมาให้ได้ ต้องปล่อยนักศึกษา ผู้นำการชุมนุม ในขณะที่ยังไม่ตัดสินคดี เพราะเป็นศุภาพพจน์ต่อทั่วโลก ไม่เช่นนั้นจะทำให้ประเทศเสื่อมไปเรื่อยๆ

ด้าน นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า แม้พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เราต้องมีข้อเสนออะไรสักอย่างให้รัฐบาล โดยตนขอพูดถึงระบบสุขภาพของประเทศไทย วันนี้ถือว่าเรากำลังทดสอบระบบสุขภาพของประเทศเรา ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีระบบสุขภาพที่ดีที่สุดเป็นลำดับ 6 ของโลก

การระบาดระลอกเดือนเม.ย.นี้ จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ระบบการดูแล การรักษา การตรวจสอบเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ขณะที่อัตราการแพร่เชื้อของไทยเรารายงานที่ 2.27 เปอร์เซ็นต์ คือ 1 คน แพร่ได้ 2 คน โดยประมาณ ถ้ายังไม่มีมาตรการใดๆผู้ติดเชื้อจะคูณไปเรื่อยๆทุกวันแล้วกลายเป็นวิกฤต ซึ่งตนขอเสนอ

1.ให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนเป็นหมอ ดูแลตัวเองไม่ให้มีความเสี่ยง แต่เมื่อเสี่ยงแล้วจะต้องทำอย่างไร ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะทำคู่มือออกมาด้วย นอกจากนี้ เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง หากเป็นกลุ่มเสี่ยงจะต้องเข้าสู่ระบบตรวจ

2.ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือร่วมใจกัน รัฐต้องไม่ปฏิเสธเอกชน และเอกชนต้องไม่ปฏิเสธรัฐในเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณสุข

3.ผู้นำประเทศต้องเร่งออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้พี่น้องประชาชนคนไทย ก่อนที่จะขยายความเชื่อมั่นนั้นไปยังนานาประเทศ ต้องจัดการการแพร่เชื้อให้ได้เหลือ 1 ต่อ 1 หรือน้อยกว่านั้นให้ได้ โดยรัฐต้องออกมาตรการที่ชัดเจน แต่เท่าที่มีออกมาไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเลย ทุกคนรอดูนายกฯออกมาแถลงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนในชาติ

แต่แถลงการณ์นายกฯกลับเป็นแถลงการณ์ที่ทำลายความหวังของคนในชาติแทน วันนี้คนป่วยจากภาวะซึมเศร้า และสิ้นหวัง มีภาวะทางจิต และโรคอื่นๆที่สูญเสียอัตราการครองเตียงที่จำเป็นต้องใช้เตียงในโรงพยาบาลในการรักษาพยาบาลทั้งนี้ ตนขอฝากกำลังใจให้พี่น้องประชาชนทุกคน

นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า เราห่วงว่าถ้าฉีดวัคซีนช้าแล้วไวรัสกลายพันธุ์ วัคซีนเดิมจะใช้ไม่ได้ และต้องหาวัคซีนใหม่ซึ่งจะทำให้เปิดประเทศได้ช้าไปอีก โดยอาจเปิดได้ในปี 66 เลย ดังนั้น รัฐบาลต้องจัดหา และวางแผนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมภายในปีนี้ โดยรัฐต้องทบทวนแผนการให้วัคซีนทั้งหมด 63 ล้านโดส ที่ท่านตั้งเป้าไว้ไม่เพียงพอ เพราะได้เพียง 23 ล้านคน

การจะให้เกิดการคุ้มกันหมู่ท่านต้องฉีดให้ได้ 70เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากร หรือ 40 ล้านคน ท่านต้องหาวัคซีนให้คน 40 ล้านคนให้ได้ในปีนี้ และรัฐต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้พี่น้องประชาชนอยู่กับโควิดให้ได้ เพราะเราปฏิเสธโควิดไม่ได้ เราต้องทำให้โควิดเหมือนไข้หวัดใหญ่ที่เมื่อเป็นก็เข้ารับการรักษา แต่เราสามารถควบคุมและป้องกันได้

ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค และผอ.ศูนย์นโยบายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วิกฤตโควิดระลอก 3 เราต้องมองภาพใหญ่ว่าเป็นเหมือนขาสองข้าง คือ ขาซ้ายด้านสาธารสุข และขาขวาด้านเศรษฐกิจ ที่แต่เดิมสองขาเดินไปด้วยกัน แต่ปัจจุบันขาด้านสาธารณสุขพิการไปแล้ว

เราจึงยืนด้วยขาข้างเดียวคือด้านเศรษฐกิจ อาวุธด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย คือ พ.ร.ก. 1.9 ล้านล้านบาท วันนี้ พ.ร.ก.ดังกล่าว ครบรอบ 1 ปี แต่ที่ผ่านมาการบริหารจัดการมีปัญหาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ หากดูการเบิกจ่ายจริง จะเห็นว่าเงินลงในระบบแค่ 6 แสนกว่าล้านบาท ทั้งที่ควรมีเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจริง 4 ล้านล้านบาท

ส่วนเชิงคุณภาพของเงินที่ลงไปก็มีปัญหา โครงการต่างๆไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย มีการสวมสิทธิ์ การกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นการกระตุ้นแบบกระจุกตัว ทำให้ลมหายใจภาคเอกชนหมดลง งบฟื้นฟูที่จะต้องสร้างงานก็เอาลงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ภาพรวมเราเดินแค่ขาเดียวคือขาขวาแต่กลับขาดสารอาหาร

นายเผ่าภูมิ กล่าวอีกว่า ทางออกที่ดีที่สุด คือ เรื่องของวัคซีน รวมถึงการท่องเที่ยวจะทำให้ขาด้านเศรษฐกิจเราแข็งแรง ซึ่งจะเริ่มต้นใหม่ได้จริงๆคือต้นปีหน้า ระหว่างนี้เราต้องให้ความสำคัญเรื่องการส่งออก เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้ขาขวาเรายืนได้ การส่งออกไม่ค่อยแปรผันต่อการติดเชื้อของคนภายในประเทศ ยังเป็นสิ่งที่พอทำได้

เราจะเห็นว่าเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นแล้วคือจีนเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของไทย ทำให้เราเห็นโอกาสในการส่งออก ด้วยการสนับสนุนสายพานการผลิตด้วยการนำเข้าวัตถุดิบ การลงทุนในประเทศเพื่อการสร้างงานนำไปสู่การส่งออก ดังนั้น สายพานการผลิตเป็นสิ่งที่ต้องสนับสนุน และสิ่งที่รัฐบาลยังไม่ได้ทำคือการดึงกำลังซื้อจากเศรษฐี จากคนมีรายได้สูง มาซื้อสินค้าคงทนเพื่อเหนี่ยวนำการลงทุน เช่น รถยนต์ อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

ขณะที่ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนขอพูดเรื่องของการท่องเที่ยว เพราะได้รับเสียงจากผู้ประกอบการการณ์ท่องเที่ยวมาจำนวนมาก ล่าสุดรายได้จากการท่องเที่ยวเสียหายจำนวนมาก และมีคนตกงานในสายนี้แล้วกว่าครึ่งทั้งที่การท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของประเทศ

แม้รัฐบาลจะมีโครงการมากมาย แต่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ตัวเลขของความเจ็บช้ำ มาพร้อมๆกับตัวเลขของการแพร่ระบาด ขาขวาของไทยกะเผลกอยู่ ทำอย่างไรเราจึงจะมีแรงเดินไปถึงเส้นชัย ไทยมุ่งหวังได้ไหมว่าเราจะเป็น 1 ใน 20 ของประเทศที่มีขีดความสามารถ จะสามารถเพิ่มการเติบโตในการได้รับมิชลินสตาร์ได้หรือไม่ สามารถเพิ่มความสามารถเรื่องการคมนาคมทั้งทางบกและทางน้ำ จะเป็นผู้นำในเรื่องของการพัฒนาที่ยั่งยืนได้หรือไม่ เราไปถึงจุดไหนได้

เราจะสร้างความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวประเทศเราได้อย่างไร ทั้งหมดขึ้นอยู่กับวัคซีนว่าสามารถดำเนินการได้รวดเร็วเพียงใด นอกจากนี้ ภาคประชาชนต้องร่วมกันขับเคลื่อน เรามีดีอยู่หลายอย่างโดยเราอาจจะผลักดันการท่องเที่ยวชุมชน การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หรือการผลักดันครัวไทยไปครัวโลก

เราต้องใช้มาตรการเร่งด่วน ยาแรง และต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาจับ ให้ประเทศไทยกลับมาเป็นมหาอำนาจด้านการท่องเที่ยวได้เพียงทุกคนไม่ท้อ รู้จักเตรียมความพร้อม และมองเห็นภาพอนาคตร่วมกัน เชิญชวนทุกคนแปรเปลี่ยนความอึดอัดใจมาเป็นแรงผลักดันในการหาทางออกร่วมกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน