“ธนาธร” ชี้ต้องนำเงินมาเยียวยาประชาชน แต่ไม่ไว้ใจ รัฐบาลบริหารงบ ซัดอนุมัติเงินให้ รมต.ลงพื้นที่หาเสียง ยันช่วงนี้ไม่ใช่เวลาให้กองทัพซื้ออาวุธ

วันที่ 29 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมรายการ “มาเถอะจะคุย: โควิด-19 ยังสาหัส ไทยจัดการอย่างไรดี?” ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ทางเฟซบุ๊กไลฟ์ The Matter แสดงความเห็นต่อการจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว

นายธนาธร กล่าวว่า ตนกำลังกังวลถึงความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ไม่มีความมั่นคงในชีวิต สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการออกมาตรการทางสังคม และมาตรการทางสาธารณสุข ที่ละเลยมาตรการทางเศรษฐกิจและการเยียวยา ซึ่งมาตรการในขณะนี้เป็น “กึ่งล็อกดาวน์” ไปแล้ว

แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจคือเหตุใดจึงไม่นำเงิน 2.5 แสนล้านบาทที่เหลืออยู่จากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทออกไปพร้อมๆ กันเพื่อให้ประชาชนสบายใจ มั่นใจ และให้ความร่วมมือกับมาตรการต่างๆ สิ่งที่จะอัดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้ดีที่สุดคือ การอัดเงินตรงใส่บัญชีเงินฝากของประชาชนย และถ้าจำเป็นต้องใช้อีก 1 ล้านล้านบาท ก็ต้องใช้ ถ้าปล่อยให้เศรษฐกิจพังเสียหายไปมากกว่านี้แล้วค่อยไปอัดฉีดเงินตอนนั้น เม็ดเงินที่ต้องใช้จะมากกว่าตอนนี้แน่นอน

นายธนาธร กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นความกระอักกระอ่วน เพราะเราเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องอัดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษกิจ แต่ขณะเดียวกันตนก็ไม่ไว้ใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ผู้นำรัฐบาลชุดนี้ใช้เงิน

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลอนุมัติงบประมาณก้อนหนึ่งชื่อว่า “ไทยไปด้วยกัน” จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท แล้วให้รัฐมนตรีไปรับผิดชอบการใช้จ่ายงบก้อนนี้ การดูแลงบประมาณแบบนี้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีหรือไม่ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังต้องการทุกทรัพยากรเพื่อมาจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่รัฐบาลยังจัดงบ 4.5 หมื่นล้านบาทแจกจ่ายให้รัฐมนตรีในสังกัดตัวเอง แล้วจะพูดได้อย่างไรว่าไม่ใช่งบหาเสียง และไม่ใช่งบที่จะไปสร้างระบบอุปถัมภ์ของรัฐมนตรี

“นี่คือภาวะกระอักกระอ่วน ผมเห็นด้วยว่าถ้าต้องกู้เพิ่มก็ต้องกู้เพิ่ม ไม่เคยมีช่วงไหนที่เงินกู้ของรัฐบาลมีต้นทุนที่ต่ำขนาดนี้ กองทุนสำรองระหว่างประเทศก็สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น โดยภาพรวมพื้นฐานทางการคลังของรัฐบาลแข็งแกร่งอยู่แล้ว กู้เพิ่มก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือเราไว้ใจให้พล.อ.ประยุทธ์ บริหารเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทหรือ ผมไม่ไว้ใจ” นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวถึงกรณีกองทัพออกมาชี้แจงการจัดซื้ออาวุธนเป็นไปตามขั้นตอนของงบประมาณที่ผ่านอนุมัติมาแล้ว ว่า หากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนโดยไม่สนใจสถานการณ์ เราจะมีผู้นำไปทำไม หน้าที่ผู้นำในภาวะวิกฤติคือการจัดสรรทรัพยากร เพราะผู้นำคือคนที่ต้องกระจายทรัพยากรไปในหน่วยงาน ไปในประเด็น ไปในพื้นที่ที่ต้องการให้เหมาะสม ตามแต่ยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ของผู้นำคนนั้นๆ ถ้าทุกอย่างเป็นแบบล่างขึ้นบนทั้งหมด เราไม่ต้องมีผู้นำก็ได้ ประเทศนี้ปกครองโดยข้าราชการไปเลย ไม่ต้องมีการเลือกตั้ง

นายธนาธร กล่าวต่อว่า การจัดสรรทรัพยากรในประเทศไทยมีปัญหาเช่นนี้มาตลอด เช่น ในปี 60 กระทรวงกลาโหมมีบุคลากรทั้งหมด 3.96 แสนคน ผ่านไป 3 ปี เพิ่มเป็น 4.8 แสนคน เท่ากับว่าถ้าไม่นับทหารเกณฑ์ จำนวนบุคลากรกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้น 21.2% แต่ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 59 ประเทศไทยมีจำนวนอัตราพยาบาลวิชาชีพอยู่ที่ 1.08 แสนคน ผ่านไป 4 ปี เพิ่มเป็น1.18 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นเพียง 9.48% ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน และหากไปดูร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 65 จะเห็นได้ว่าโดยภาพรวมลดลงประมาณ 6% แต่งบประมาณของบุคลากรกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้น 1%

ลองใช้สามัญสำนึกตัดสินดูว่าใน 5 ปีที่ผ่านมา เราควรเพิ่มจำนวนบุคลากรของกระทรวงกลาโหมหรือควรเพิ่มบุคลากรพยาบาลวิชาชีพมากกว่า คุณไม่ต้องเรียนจบสูงเลย ใช้สามัญสำนึกง่ายๆ ผมก็คิดว่าเราน่าจะตัดสินกันได้ว่านี่คือการจัดสรรทรัพยากรที่ผิดฝาผิดตัวหรือไม่” นายธนาธร กล่าว

นอกจากนี้ นายธนาธร ยังกล่าวถึงกรณี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รมว.พลังงาน ระบุขอให้ประชาชนเอาเงินเก็บออกมาใช้ เพื่อให้ GDP เติบโตไปถึง 4% ว่า เป็นการพูดที่ไม่รับผิดชอบ วันนี้หนี้ครัวเรือนของไทยสูงมากจนน่าตกใจ ขึ้นไปเป็น 90% ของ GDP หรือประมาณ 14 ล้านล้านบาท ซึ่งโดยเฉลี่ยคนไทยมีหนี้ครัวเรือน 1.3 แสนบาทต่อครัวเรือน ส่วนคนมีเงินเก็บในบัญชีมากกว่า 1 ล้านบาท ปัจจุบันมีเพียง 1.4% ของบัญชีเงินฝากที่มีอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น

ส่วนมาก 80% มีเงินเก็บอยู่ไม่ถึง 50,000 บาท จริงอยู่ที่รัฐบาลในหลายประเทศกำลังรณรงค์เรื่องนี้ โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว แต่นั่นเป็นเพราะการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เปิดประเทศได้เร็วขึ้น และเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้น อีกทั้งประชาชนในประเทศเหล่านั้นได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้ผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อครัวเรือนไม่รุนแรงเหมือนประเทศไทย

พอกลับมาดูเมืองไทย มันผิดฝาผิดตัวมาก ที่จะออกมาเรียกร้องให้คนไทยใช้จ่าย ปัจจุบันอย่าว่าแต่ใช้จ่ายเลย เขากำลังคิดกันอยู่ว่าจะออมอย่างไร จะลดค่าใช้จ่ายอย่างไร เพื่อให้อยู่รอดได้ถึงสิ้นเดือน ไม่มีคนที่มีเงินเหลือในบัญชีมากพอจะเอามาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย แค่ 1% ยังไม่รู้เลยว่าจะถึงหรือเปล่า” นายธนาธร กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน