ทูตรัศม์ เล่าการทำงาน สมัยโทนี่เป็นนายกฯ โจทย์หินในงานใหญ่ แก้ได้ด้วยข้าราชการตัวเล็กๆ แม้ทำงานหนักกว่ายุคใด แต่เป็นยุคที่ข้าราชการหน้าใหม่ กล้าคิด-พูด เผยเหตุข้าราชการ ไม่ชอบใจ

รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยหลายประเทศ เจ้าของเพจ ‘ทูตนอกแถว’ โพสต์ข้อความบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์รับราชการสมัยที่ นายกรัฐมนตรีคือ นายทักษิณ ชินวัตร โดยยุคนั้น เป็นยุคหนึ่งที่ ข้าราชการที่เพิ่งบรรจุใหม่ กล้าคิด กล้าเสนอความเห็น จนทำให้งานต่างๆราบรื่น โดยทูตรัศม์ เล่าว่า

งานหนึ่งที่สำคัญยิ่งใหญ่มากในสมัยคุณโทนี่ที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงในช่วงที่อยู่กรมพิธีการทูต ก็คือการจัดงาน 60 ปีครองราชย์ของรัชกาลที่เก้า ซึ่งเชื่อว่าทุกคนคงชินตาและจำภาพถ่ายร่วมกันของราชวงศ์ทั้งหลายที่มาร่วมงานดังกล่าวที่พระที่นั่งอนันตสมาคมได้นะครับ (ถ้าจำไม่ได้ในกูเกิ้ลมีมากมาย)

แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าในแง่พิธีการนั้น มันเป็นโจทย์ที่ยุ่งยากมหาหินแค่ไหน ในการต้องจัดให้แต่ละราชวงศ์ที่มาให้เดินเข้าประทับประจำที่นั่งด้วยเวลาที่น้อยที่สุด และแลดูเรียบร้อยสง่างาม ไม่สับสนวุ่นวาย เดินชนกันไปมา ซึ่งการใช้คนเดินนำหน้าจะไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ได้ โดยต้องคำนึงว่ามีราชวงศ์จากกว่ายี่สิบประเทศเข้าร่วม ถ้าแต่ละราชวงศ์ใช้เวลาเพียงสามนาทีก็กินเวลาไปกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ทางกรมพิธีฯ และ ผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายพยายามช่วยกันระดมความคิดเพื่อหาวิธีว่าจะทำอย่างไรถึงจะตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุด แต่หลังจากทดลองไปหลายแบบก็ยังหาวิธีที่ดีที่สุดไม่ได้

จนกระทั่งมีคนปิ๊งไอเดียเสนอขึ้นมาว่า ให้ทำหมอนอิงเก้าอี้ที่ประทับปักเป็นรูปตราสัญญาลักษณ์ของแต่ละราชวงศ์วางไว้ เพื่อจะได้เป็นจุดสังเกตเด่นชัดที่เห็นได้ง่ายบนเก้าอี้ ซึ่งได้กลายเป็นวิธีที่ตอบโจทย์ดีที่สุด เพราะแต่ละราชวงศ์ย่อมจำตราสัญลักษณ์ของตนเองได้ และเดินมุ่งไปได้ทันที ซึ่งเป็นที่มาของภาพนั้นที่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยสง่างามภายในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนสร้างความประทับใจต่อทั้งบรรดาราชวงศ์ที่เข้าร่วมงาน และได้รับคำชมเชยยอมรับจากฝ่ายพิธีการของประเทศเหล่านั้น จนกลายมาเป็นภาพประวัติศาสตร์จนถึงทุกวันนี้

ไอเดียนี้เมื่อมองย้อนหลังไปมันก็อาจดูธรรมดาไม่น่าแปลกอะไรนัก แต่ในตอนนั้นมันไม่มีใครคิดออกนะครับ ไม่ว่าจะระดับสูงแค่ไหน ซึ่งนี่ก็คือประเด็นที่อยากจะเล่า เพราะคนที่คิดได้นั้นเป็นเพียงข้าราชการแรกเข้า ที่เพิ่งมาประจำการใหม่ๆ เป็นนักการทูตระดับเล็กสุดที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ

(ปกติเวลากระทรวงการต่างประเทศจะรับข้าราชการเข้าใหม่ เราจะเปิดสอบของเราเอง ไม่ขึ้นกับทาง กพ. เพื่อคัดเลือกอย่างเข้มข้นให้ได้บุคคลากรตามที่ต้องการมากที่สุด เมื่อคัดเลือกมาแล้วก็ต้องฝึกงานของกรมกองต่างๆอีกหกเดือนถึงจะส่งไปสังกัดแต่ละกรม แต่ในช่วงจัดงาน 60 ปีฯ เราเอาข้าราชการแรกเข้าเหล่านี้มาช่วยทำงานเลย เพราะต้องการคนช่วยงานจำนวนมาก)

จะอย่างไรสิ่งนี้มันก็บอกเราว่า บางครั้งไอเดียที่ดีที่สุดมันอาจมาจากคนที่ตัวเล็กที่สุด หรือระดับเด็กๆนั่นเองก็ได้ ในการทำงานในยุคของคุณโทนี่นั้น มีข้อดีที่เด่นมากอีกประการคือการเปิดกว้างยอมรับความเห็นของทุกๆคน ถ้าไอเดียนั้นมันดีจริง มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นใคร ระดับใด ไอเดียนั้นมันจะถูกเอาไปใช้ปฏิบัติให้เห็นผลจริง นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้การทำงานในสมัยคุณโทนี่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

แต่ทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้มันไม่มีหลงเหลือ เพราะเอาการทำงานแบบทหารมาครอบหมด ที่ห้ามคนคิด ต้องฟังคำสั่งอย่างเดียว ไม่ว่าคำสั่งนั้นจะโง่เง่าปานใด ไม่มีกล้าหืออือ ก้มหน้าก้มตาทำไป ไม่มีไอเดียใหม่ๆเกิดขึ้น ไม่มีการตั้งคำถามว่าประโยชน์ที่จะก่อให้ประเทศชาติอยู่ที่ใด บ้านเมืองเรามันก็เลยตกต่ำอย่างที่เห็น และขอย้ำอีกครั้งว่ามันไม่มีชาติไหนในโลกที่ทหารยึดอำนาจมาแล้วบริหารบ้านเมืองให้เจริญรุดหน้าได้จริง

และไม่ว่าจะเกลียดเขายังไง ข้อเท็จจริงก็คือคุณโทนี่ คือนายกรัฐมนตรีที่สร้างความเจริญยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมให้กับคนไทยได้อย่างแท้จริงที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หรือพูดง่ายๆก็คือเขาคนที่เก่งที่สุดที่เรามีมา

(ขอความกรุณาอย่าเอาไปเปรียบกับยุคปัจจุบันเลยครับ)

แต่ถ้าถามว่าผมชอบทำงานกับท่านโทนี่ไหม ก็ต้องบอกว่าแม้เป็นช่วงที่ได้เรียนรู้ได้ประสบการณ์ที่หลายคนทุกวันนี้ไม่อาจมีโอกาสได้ แต่ตอบตามตรงว่าตอนนั้นผมก็ไม่ได้ชอบนัก เพราะสมัยคุณโทนี่ เราต้องทำงานหนักมากถึงมากที่สุด ซึ่งผมก็ข้าราชการประจำพวกเช้าเย็นชาม ทำมากทำน้อยเราก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม คุณโทนี่แกเลยลงแส้กับพวกเราบ่อยๆ ซึ่งนี่ก็คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เหล่าข้าราชการมักต่อต้านแก และเริ่มนิยมกินขนมใส่กะทิ มาตั้งแต่บัดนั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน