“วิโรจน์” กระตุก รัฐเร่งออก 6 มาตรการเยียวยา ชี้ ต้องนั่งในใจประชาชน ไม่ใช่แค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ ย้ำ เมื่อล็อกดาวน์การหารายได้แล้ว ต้องล็อกดาวน์รายจ่ายด้วย

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการบริหารจัดการสถานการณ์การเเพร่ระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล ว่า รัฐบาลต้องยอมรับได้แล้วว่า การที่บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะวิกฤต ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทั้งหมดมาจากการละเลยต่อหน้าที่และมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล โดยสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ก็ได้สรุปและยืนยันไปในทำนองเดียวกัน

ทั้งการไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน การจัดฉีดวัคซีนล่าช้า ประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกเลื่อนฉีดลอยแพ การตรวจเชิงรุกที่จำกัด ไม่ยอมเปิดให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจได้อย่างทั่วถึงกว้างขวาง มีประชาชนต้องนอนริมถนนเพื่อรอตรวจ การจัดสรรเตียงให้กับผู้ป่วยที่ตกค้างจนเกิดปัญหา มีประชาชนหลายคน หลายครอบครัว เสียชีวิตคาบ้านระหว่างที่รอเตียง หลายครอบครัวติดเชื้อยกบ้าน กว่าจะถึงมือหมออาการก็หนัก ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วันละ 70-90 คน เทียบเท่ากับเหตุเครื่องบินตกที่เกิดขึ้นทุกๆ 3 วัน

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในที่สุดรัฐบาลต้องถูกสถานการณ์ที่ล้มเหลวที่ตนเองสร้างขึ้น บีบให้ต้องใช้มาตรการกึ่งล็อกดาวน์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นมาตรการตามยุทธศาสตร์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และคนที่เดือดร้อนที่สุด คือ ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำ ตลอดจนผู้ประกอบการที่ต้องหยุดกิจการ นี่คือความเสียหาย 2.5 แสนล้านบาทต่อเดือน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รู้ดีจากรายงานที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตีและรมว.สาธารณสุข ทำแล้วส่งมาให้ แต่ไม่เคยนำพา ไม่เคยใส่ใจ

“วันนี้จึงต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งเยียวยาประชาชนอย่างเป็นธรรม เยียวยาแบบที่เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชน ไม่ใช่เยียวยาแบบผู้ปกครองทรราชย์ ที่ทำแค่โยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ แล้วก็พูดว่า “ก็ช่วยไปหมดแล้วจะเอาอะไรอีก” ” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การเยียวยาประชาชนที่จำเป็นต้องสั่งการให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด มี 6 ข้อ คือ 1.การเยียวยาที่สมเหตุสมผล การระบาดในครั้งนี้รุนแรงกว่าการระบาดระลอกแรก ดังนั้นการเยียวยาจึงไม่ควรต่ำกว่า กรณี “เราไม่ทิ้งกัน” โดยขอสั่งการให้รัฐบาลเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบและแรงงานนอกระบบ ที่เป็นเงินสดแบบถ้วนหน้า ผ่านระบบพร้อมเพย์ เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพ ในยามที่ประชาชนต้องเผชิญกับมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ของรัฐบาล

2.มีจุดแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน เพื่อเก็บตกประชาชนกลุ่มเปราะบาง อย่าให้เกิดเหตุการณ์ที่ประชาชนต้องนำเอาข้าวกล่องไปดูแลกันเอง แล้วยังถูกตำรวจจับดำเนินคดีเกิดขึ้นอีก 3.พิจารณาจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดย่อม โดยพิจารณาจ่ายเป็นร้อยละของรายได้ในเดือนก่อนที่จะมีการระบาดระลอกที่ 3 เพื่อชดเชยภาระในการแบกรับค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่าและค่าแรงพนักงาน และต้องพิจารณาจ่ายชดเชยย้อนหลังให้กับผู้ประกอบการ ที่ต้องหยุดการประกอบกิจการจากคำสั่งของรัฐบาลไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า 4.รัฐบาลต้องออกมาตรการช่วยเหลือ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ แก่ประชาชน และผู้ประกอบการรายย่อย 5.รัฐบาลต้องออกมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนที่ต้องจ่ายชำระหนี้แก่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยพิจารณาการยกเว้นการจ่ายดอกเบี้ยและพักการชำระหนี้ในช่วงมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ ที่กระทบกับการทำมาหากินของประชาชน เพราะในเมื่อรัฐบาลล็อกดาวน์การทำมาหากิน การหารายได้ของประชาชน รัฐบาลก็ต้องออกมาตรการในการล็อกดาวน์ค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนที่สอดคล้องกันด้วย

และ 6.ให้ประชาชนมีสิทธิในการเบิกชุดตรวจ แรพิด แอนติเจน เทสต์ มาตรวจตัวเองโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น 1 ชุดต่อสัปดาห์ โดยกำหนดให้ประชาชน ต้องรายงานผลตรวจให้สาธารณสุขทราบ หากพบผู้ติดเชื้อก็ให้เข้ารับการรักษาตามมาตรการของรัฐต่อไป สำหรับประชาชนที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ให้สามารถซื้อได้ในราคาถูก ซึ่งราคาชุดละ 300-400 บาท ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชนในยามยาก จึงต้องสั่งการให้รัฐบาลแก้ไขในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน “ผมขอให้รัฐบาล เข้าไปนั่งในหัวใจของประชาชนบ้าง ไม่ใช่กดหัวประชาชนไม่ยอมเลิก” นายวิโรจน์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน