เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ที่สำนักงานคระกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการฯ รักษาการแทนเลขาธิการป.ป.ช. ในฐานะโฆษกคณะกรรมการป.ป.ช.แถลงว่าคณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก ว่าทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบจีทูจี โดยในรายของพ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ผู้ถูกกล่าวหาที่3 มีมูลความผิดทางอาญา โดยได้ร่วมกระทำความผิดกับนายบุญทรง ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำงานช่วยเหลือมุ่งหมายและเอื้อประโยชน์ให้กับGuangdong stationery & sporting goods imp.& exp. Corp.และHainan grain and oil industrial trading Company ซึ่งไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เข้ามาทำสัญญาซื้อขาย แต่มีสิทธิ์เข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น แล้วนำข้าวที่ซื้อได้ในราคาต่ำ กว่าราคาขายในประเทศหรือต่ำกว่าราคาที่ไทยเสนอ หรือต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ เพื่อนำไปขายต่อให้กับผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศ หรือนำไปให้บริษัท สยาม อินดิก้า จำกัด นำไปขายต่ออีกทอดหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศและประเทศชาติอย่างร้ายแรง

นายวรวิทย์ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาและมีมติว่ากรณีดังกล่าวมีเหตุอันควรสงสัยว่าพ.ต.วีระวุฒิเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่า ร่ำรวยผิดปกติตามมาตรา 66 มาตรา75วรรคสอง และมาตรา77 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม2550 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมีน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการป.ป.ช.ได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติของ พ.ต.วีรวุฒิ น.ส.ชุฏิมา วัชรพุกกะ อดีตคู่สมรส บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 78 แห่งพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2542 รวมมูลค่า99,203,133.17 บาท

คณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2560 ได้พิจารณารายงานการผลการไต่สวนแล้วเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของทรัพย์สินได้ จึงมีมติว่า พ.ต.วีรวุฒิ ผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า896,554,760.28 บาท ประกอบด้วย1.เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในชื่อ พ.ต.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ และอดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติและผู้ใกล้ชิด จำนวน 53 บัญชี เป็นเงิน567,715,461.37 บาท 2.เงินลงทุนในชื่อพ.ต.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ และอดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติและผู้ใกล้ชิด จำนวน 6 แห่ง มูลค่า260,142,651 บาท 3. ที่ดินในชื่ออดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติ จำนวน12 แปลง ในท้องที่กรุงเทพมหานคร มูลค่า 57,066,828 บาท 4.ห้องชุดในชื่อเครือญาติ ได้แก่ ห้องชุด ชื่อศาลาแดง โคโลเนต ตำบลสีลม อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานครจำนวน 1 ห้อง มูลค่า 6,200,000 บาท และ 5.รถยนต์ จำนวน 4 คัน ในชื่อของเครือญาติ และผู้ใกล้ชิด มูลค่า 6,309,000 บาท

ป.ป.ช. มีมติให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.วีรวุฒิ มูลค่า 896,554,760.28 บาท ที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2542 มาตรา80 รวมทั้งขอให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(1)และหากไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมด หรือได้แต่บางส่วนแล้ว ขอให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในอายุความ 10 ปีตามนัยมาตรา 83 พ.ร.บ.ป.ป.ช. ซึ่งขณะนี้นายวีระวุฒิได้หนีไปอยู่ต่างประเทศ

เมื่อถามว่าผู้เกี่ยวข้องที่คณะอนุกรรมการไต่สวนป.ป.ช.อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินเชิงลึกเหลือใครบ้าง นายวรวิทย์ กล่าวว่า บุคคลที่ยังต้องตรวจสอบเพิ่มมี 8 ราย เป็นนักการเมือง 5 ราย และเจ้าหน้าที่รัฐอีก 3 ราย โดยบางคดีมีความคืบหน้าไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ และบางคดีคืบหน้าไปถึง 90เปอร์เซ็นต์ หากดำเนินการแล้วเสร็จจะแถลงต่อสื่อมวลชนต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน