‘ช่อ พรรณิการ์’ รับรู้ตัว มีคนตาม หลายเดือนก่อนเอารถไปซ่อม เจอ GPS! ติดใต้ท้องรถ พ้อนี่คือราคาที่ต้องจ่าย สำหรับการพูดความจริงในประเทศนี้

วันที่ 10 ส.ค.64 น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ ช่อ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า แสดงความเห็นกรณีข่าวถูกทางการขึ้นบัญชีเป็น watch list หรือบุคคลที่ต้องจับตาจากฝ่ายความมั่นคง ผ่านทางทวิตเตอร์ ความว่า คนแสดงความเป็นห่วงกันมาเยอะเรื่องมีชื่อช่อใน watchlist ที่เป็นข่าวไปเมื่อวาน จริงๆรู้ตัวค่ะว่ามีคนตาม

หลายเดือนก่อนเอารถไปซ่อม ช่างเจออุปกรณ์ติดตามตัวแบบ GPS ติดใต้ท้องรถ ติดแน่นแข็งแรงแบบมืออาชีพ ติดมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการพูดความจริงในประเทศนี้

ต่อมา ช่อ พรรณิการ์ โพสต์ภาพพร้อมเขียนข้อความอีกว่า หน้าตาอุปกรณ์ติดตามตัวที่ถูกเอามาติดใต้ท้องรถช่อ ข้างหลังเป็นแถบแม่เหล็กสำหรับเกาะติดตัวถังรถ พร้อมซิมการ์ดที่ยังใช้งานได้จนถึงปัจจุบัน ไม่มีภาพตอนติดอยู่ใต้ท้องรถนะคะ เพราะช่างซ่อมรถเจอโดยบังเอิญตอนเอารถเข้าอู่ เขาเลยถอดออกมาให้เลย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้

ต่อมา น.ส.พรรณิการ์ วานิช ให้สัมภาษณ์ว่า ตั้งแต่ที่เจออุปกรณ์นี้ได้ปรึกษาหารือกับทีมกฎหมายของคณะก้าวหน้าแล้วว่าหากจะดำเนินการทางกฎหมายจะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งตัวเครื่องนี้มีซิมการ์ด หากนำซิมการ์ดนี้ไปแจ้งความ เจ้าของเครือข่ายสามารถตรวจสอบชื่อเจ้าของซิมได้

ประเด็นคือเราไม่รู้ว่าใครติดเมื่อไหร่อย่างไร ฉะนั้น จึงมีเบาะแสเดียวคือซิมอันนี้ โดยคดีที่สามารถดำเนินการได้คือคดีลักษณะสร้างความเดือดร้อนรำคาญ ซึ่งเป็นคดีลหุโทษ หากพูดอย่างตรงไปตรงมา คือ ต่อให้สาวไปก็ได้เต็มที่ถึงเจ้าของซิม ซึ่งก็คงจะเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยแน่นอน คงไม่ใช่ระดับผู้สั่งการ

ดังนั้น คิดว่าดำเนินคดีก็เปลืองพลังและเวลาเปล่าๆ ทีมกฎหมายของเราก็มีงานเยอะพออยู่แล้ว แต่เมื่อเกิดประเด็นเรื่องเอกสารบัญชีความมั่นคง โดยมีลิสต์รายชื่อบุคคล 183 รายชื่อและบัญชีโซเชียลมีเดีย 19 บัญชี ที่ถูกระบุเป็น Watch list ขึ้นมา จึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าให้สังคมฟังว่าเรื่องการเฝ้าจับตาพวกเรามีมาโดยตลอดอยู่แล้ว

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ส่วนจะดำเนินการเรื่องนี้ในส่วนของบัญชีความมั่นคงหรือไม่นั้น คงจะต้องหารือกับคนที่อยู่ในรายชื่อทั้งหมดอีกครั้ง หลายๆ คน เช่น ทางศูนย์ทนายก็เห็นว่าน่าจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะเป็นการติดตามนอกกระบวนการยุติธรรมแน่นอน ไม่มีกฎหมายใดรองรับให้เจ้าหน้าที่รัฐมาทำแบบนี้กับประชาชนได้

ซึ่งหากมีการฟ้องร้องเรื่องรายชื่อความมั่นคงจริงๆ ก็คงต้องรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเท่าที่ทำได้ เพราะตอนนี้หลักฐานมีเพียงแค่เอกสารลับที่สุดที่ออกมาชุดเดียว ซึ่งหากมีหลักฐานแวดล้อมอื่นๆ ไม่ว่าใครจะเคยโดนติดตามหรือโดนทำอะไรก็จะต้องรวบรวมไว้ ซึ่งคงเป็นขั้นตอนต่อไปที่จะต้องปรึกษาหารือกันอีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน