ครูจุ๊ย ซัด ศธ. ไล่เซนเซอร์หนังสือ ไม่ใช่หน้าที่ ชี้ประชาชนผลิตและใช้ เป็นสิทธิในการเลือกอ่าน เลือกใช้ ถามใครกันแน่ที่ล้างสมอง

28 ก.ย. 2564 – น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เผยแพร่บทความเรื่อง “หน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ คือไล่เซนเซอร์หนังสือเหรอ ?”

โดยระบุว่า ปัญหาอีกเรื่องของการศึกษาไทย คือ อำนาจหน้าที่ล้นฟ้าและความรับผิดรับชอบมีต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ยกตัวอย่างกรณีหนังสือเรียน และหนังสือที่ใช้ในห้องเรียนจะชัดเจนมาก หนังสือเรียนตามรายการหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหนังสือเรียนที่เบิกเงินอุดหนุนได้นั้น ต้องขอให้กระทรวงศึกษาธิการตรวจสอบและนำเข้ารายการหนังสือก่อนใช้เงินของรัฐซื้อได้

ส่วนนี้งานของกระทรวงคือการดูแลตรวจสอบคุณภาพ แต่สภาพที่เห็น คือ หนังสือสังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ มีทั้งข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริง การให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว การสร้างอคติต่อคนกลุ่มต่างๆ ในสังคม ส่วนนี้ไม่เห็นมีการจัดการใดๆ กับสำนักพิมพ์ และยังไม่นับรวมคุณภาพหนังสือที่ต่ำกว่ามาตรฐานมาก เช่น การขาดเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญของโลก และความเชื่อมโยงในมิติต่างๆ กับประเทศไทย

“นอกจากจะไม่เป็นสากลแล้วยังสร้างความแตกแยกในสังคม เรื่องนี้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงว่า หากประชาชนพบเนื้อหาในหนังสือเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้ใช้ในโรงเรียน แต่ไม่ได้คุณภาพจะให้ไปร้องเรียนที่ใคร และใครเป็นผู้รับผิดชอบ”

น.ส.กุลธิดา ระบุต่อว่า ส่วนหนังสืออื่นๆ ของเอกชนที่ผลิตขึ้นมา เป็นไปตามหลักการพื้นฐานตามสิทธิพลเมือง คือ ประชาชนผลิตและใช้ก็เป็นสิทธิของเขาในการเลือกอ่าน เลือกใช้

กรอบการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการจะมีอำนาจเข้ามาตรวจสอบเมื่อหนังสือถูกใช้ในโรงเรียน และแน่นอนว่าโรงเรียนที่ใช้ก็อาจต้องรับผลที่ตามมา เช่น ต้องยอมรับการตรวจสอบต่างๆ และการเพิกถอนใบอนุญาต หากพบว่ามีการใช้แบบเรียนที่ผิดกฎหมายเป็นหนังสือต้องห้าม ซึ่งต้องมีการออกคำสั่งอย่างเป็นทางการ เช่น คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 43 ลงวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2519 ทั้งนี้ รายการหนังสือต้องห้ามนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ไม่จบสิ้น

หากพิจารณาแล้ว กรณีเหล่านี้ถ้าใช้หลักการเฉพาะบทบาทและหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการโดยไม่มีกรอบอื่นประกอบ ไม่ว่าจะเป็นกรอบระเบียบวิธีการใช้อำนาจของตนเอง หรือหลักสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน จึงเข้าใจผิดได้ว่าตนมีอำนาจล้นฟ้า สามารถสั่งให้ตรวจสอบหนังสืออะไร อย่างไรก็ได้

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะภาครัฐที่พึ่งพาการตีความกฎหมายที่มีลักษณะกว้างขวาง ตามการตีความของผู้ใช้ รัฐจึงใช้อำนาจนี้เป็นเครื่องมือที่จะใช้แปะป้ายชี้นิ้วว่า อะไรหรือใคร เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือหนังสือแบบไหนที่ผิด ตามการตีความของตน โดยปราศจากการความรับผิดรับชอบ ซึ่งเป็นอันตรายต่อการเติบโตทางความคิดของประชาชน เพราะถือว่าเป็นการปิดกั้นทางความคิดประเภทหนึ่ง

จากการให้ข้อมูลเช่นนี้เอง ทั้งที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนก็ชวนให้คนอ่านเข้าใจว่าหนังสือเหล่านี้มีเจตนาดังที่กล่าวไว้ และคำถามต่อมา คือ หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีได้เนื้อหาเช่นนั้นจริง กระทรวงศึกษาธิการจะออกมารับผิดชอบอย่างไรต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไปแล้วต่อหนังสือ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือเหล่านี้ ไม่แน่ใจว่าการล้างสมองแบบที่รัฐกังวล ใครเป็นผู้มีอำนาจทำมากกว่ากันแน่ ประชาชนหรือรัฐ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน