ฝ่ายค้าน จ่อยื่นร้อง ปปช.เอาผิด “ประยุทธ์ – อนุทิน- เฉลิมชัย” 4 ต.ค.นี้ ชี้ยังไม่ถึงเวลายื่นศาล รธน.ตีความปมนายกฯ 8 ปี เชื่อ “บิ๊กตู่” อาจอยู่ไม่ถึง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 ก.ย. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) มีการประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยมีแกนนำ อาทิ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคพท. นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคพท.และประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคพท. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคพท. นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพท. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคพท.

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก.ก. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค ปช. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ (พช.) นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ร่วมประชุม

จากนั้นเวลา 12.00 น. แกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านร่วมกันแถลงผลการประชุม โดย นายประเสริฐ กล่าวว่า 1.สืบเนื่องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งที่ผ่านมา พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติลงนามในญัตติที่จะยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. โดยได้นัดหมายเดินทางไปยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.ในวันที่ 4 ต.ค. เวลา 10.00 น. ซึ่งจะยื่นทั้งหมด 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดแรก เป็นคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ชุดที่ 2 เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ชุดที่ 3 เป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ชุดที่ 4 เป็นนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์

ขณะที่ประเด็นที่จะยื่นเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการวัคซีนทั้งหมด 3 เรื่อง เช่น การไม่เข้าโครงการโคแว็กซ์ การผูกขาดเอื้อประโชน์วัคซีนแอสตร้าเซนเนกา การทุจริตจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ทุจริตการจัดซื้อชุดตรวจ ATK และการบริหารจัดการวัคซีนที่ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพ จัดซื้อวัคซีนที่ไม่มีประสิทธิภาพให้คนไทย

ส่วนกรณียางพาราเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการออกมติ ครม.ที่ขัดต่อกฎหมาย เอื้อประโยชน์ให้เกิดการทุจริตสต๊อกยางพารา ส่งผลให้เกิดหารขายในราคาที่ต่ำกว่าปกติ เอื้อเอกชนรายเดียว ผิดกฎหมายการยางเรื่องการรักษาเสถียรภาพ ทำราคายางลดต่ำเพราะมีการทุ่มราคา และ 2.กรณีวาระการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าบทบัญญัติมาตรา 158 เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกฯ มีวาระในการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดอำนาจนานเกินไป และเป็นประเด็นในอนาคตอาจต้องมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ยังไม่ยื่นตีความนายกฯ 8 ปี

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เรื่องการดำรงตำแหน่งของนายกฯ นั้น รัฐธรรมนูญมาตรา 158 เขียนชัดว่านายกฯจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ ฝ่ายค้านแทบจะไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแต่ประการใด เพราะชัดเจนในตัวมันเองแล้ว

ถ้าตีความแบบฝ่ายค้านตีความต้องนับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.57 และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 ในรัฐธรรมนูญยังระบุว่า ครม.ที่เป็น ครม.อยู่ก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ให้เป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งนี้ ในการยื่นร้อง ถ้าไม่มีเหตุเกิดขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญก็คงจะไม่น่ารับไว้ เราจึงจะไม่ยื่นในขณะนี้ เพราะยื่นไว้คงไม่เกิดประโยชน์ เราจะพิจารณาเรื่องนี้เมื่อมีเหตุที่เหมาะสม

ด้าน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า กฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจน คนที่ตีความเป็นอย่างอื่นเป็นการทำลายกฎหมายสูงสุด ถ้าถึงเวลานายกฯ ต้องพิจารณาตนเอง ไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นคนที่ใช้ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าเห็นประโยชน์ส่วนรวม ที่สำคัญคือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ

เชื่อ “บิ๊กตู่” อาจอยู่ไม่ถึงยื่นตีความ

นายชัยธวัช กล่าวว่า ประเด็นนี้ยึดโยงกันอย่างน้อย 3 มาตรา คือ มาตรา 158 ระบุไว้ชัดเจน ซึ่งคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ทำเอกสารอธิบายความมุ่งหมายไว้ชัดเจน ว่าเพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป อันจะเป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤติทางการเมือง และหากเรายังปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ สืบทอดอำนาจนานเท่าไหร่ก็จะเป็นปัญหาทางการเมืองจนเกิดวิกฤติ

มาตรา 170 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลา ตามมาตรา 158 และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.ครม.ที่ดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ก็ให้ถือเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย และ 2.หากเราดูบทเฉพาะกาลมาตรานี้จะมีการยกเว้นลักษณะต้องห้าม และเหตุที่ต้องพ้นจากตำแหน่งของรัฐมนตรี แต่ไม่มีมาตราไหนเลยที่จะยกเว้นมาตรา 170

เรื่องนี้ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้ และการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในตอนนี้โดยไม่จำเป็น จะเป็นการขยายอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญมากเกินจำเป็น ทั้งนี้ เราหวังว่านายกฯ จะเคารพเจตจำนงค์ของรัฐธรรมนูญที่ตนเอง และแม่น้ำหลายๆ สายของตนเองยกร่างเอาไว้

“เอาเข้าจริงๆแล้ว ผมว่าไม่จำเป็นต้องรอถึง ส.ค.ปีหน้า ทุกวันนี้ผมคิดว่ารัฐบาลทราบดีว่าเราอยากได้นายกฯ คนใหม่เร็วที่สุดทุกเวลา ส.ค.ปีนี้ยังคิดว่าช้าเกินไป” นายชัยธวัช กล่าว

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่สามารถเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้แล้วใช่หรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า หากนับการดำรงตำแหน่งเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 57 ก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้แล้ว

ด้าน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เขาสามารถเสนอได้ แต่ประชาชนต้องตื่นรู้ว่าคุณเป็นรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน 7 ปี บ้านเมืองเราบอบช้ำมามากแล้ว ท่านบริหารประเทศมีแต่ความเหลื่อมล้ำ มีแต่กู้เงินไปใช้แล้วไม่มีอนาคต ปัญหาสังคมมากมาย วันนี้ต้องเปิดโอกาสให้ผู้นำที่ประชาชนเลือกเข้ามาจะดีกว่า

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่หากฝ่ายรัฐบาลจะชิงยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นอำนาจของ กกต.และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญยื่นได้ เราตั้งข้อสังเกตว่าเขาชิงยื่นก่อน ซึ่งเป็นกลไกในการฟอกตัวนายกฯ หรือไม่ ถ้ากกต.ยื่นอาจจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์

เพราะ กกต.ทราบจะทราบว่าหากจัดการเลือกตั้งจะมีปัญหาหรือไม่ ถ้าเป็น ครม. หรือกกต.ภายใต้อาณัติยื่น อาจจะตีความว่าเป็นการฟอกตัวได้ เชื่อว่าถ้าหากมีการยื่นจริง มีแนวโน้มว่าศาลจะรับคำร้องไว้แน่ เพราะเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว อาทิ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พปชร.ยื่นศาลตีความวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาฯ เป็นต้น

เมื่อถามว่าหากศาลตีความในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ ครบวาระแล้ว จะเกิดเดดล็อกทางการเมืองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ถ้ามีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ส.ค.57 และเมื่อมีการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งไปนั้น มันก็มีผลแน่นอนต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ถามว่าใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะกกต.ที่ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติการเข้ามาสู่ตำแหน่ง ย้ำว่าบทบัญญัติกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน และไม่จำเป็นต้องยื่นแต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน