ผบ.ทสส.ฮึ่ม ‘ทะลุแก๊ซ’ หากเคลื่อนไหวกระทบเอกราช-อธิปไตย เป็นหน้าที่กองทัพจัดการปราบกบฏ-จราจล ชี้ตอนนี้ยังคงเป็นแค่การแสดงความคิดเห็น

เมื่อวันที่ 19 ต.ค.64 ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) ถ.แจ้งวัฒนะ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร และการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพครั้งที่ 1 ประจำปี 2565 โดยมี พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมครั้งแรกอย่างพร้อมเพรียง ภายหลังจากที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพท่านใหม่เข้ารับตำแหน่ง

จากนั้นพล.อ.เฉลิมพล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีกลุ่มทะลุแก๊ซ เปลี่ยนชื่อเป็นภาคีปฏิวัติประชาชนไท หรือ PRA ที่แสดงจุดยืนโค่นล้มการปกครอง และปลดปล่อยอีสาน ล้านนา และปาตานี จะนำไปสู่การเคลื่อนไหวใหญ่และรุนแรงหรือไม่ ว่า เป็นลักษณะของการแสดงออกภายใต้ข้อกฎหมาย การดำเนินการเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เพื่อดูตามข้อกฎหมาย แต่ถ้ามีกระบวนการไปกระทบเรื่องความมั่นคง และสุดท้ายปลายทางกระทบเอกราช อธิปไตย ก็เป็นหน้าที่ของกองทัพที่จะดำเนินการ แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวดังกล่าว ก็ยังคงเป็นระดับการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นมากกว่า ซึ่งยังไม่ส่งผล

เมื่อถามว่า กองทัพจะไม่ยุ่งเกี่ยวการชุมนุมที่เกิดขึ้นทั่วประเทศใช่หรือไม่ พล.อ.เฉลิมพล กล่าวว่า ในส่วนการดูแลเรื่องการชุมนุมเป็นบทบาทของสตช. ในการบังคับใช้กฎหมาย ในส่วนของทางการทหาร เราก็มีหน้าที่ของความไม่สงบเรียบร้อย ซึ่งหากสถานการณ์พัฒนา ไปสู่สถานการณ์ที่เริ่มบอกว่าไม่สงบเรียบร้อย ทหารก็ต้องเข้าไปเพื่อดำเนินการ

ถ้ายึดถือกันตามหน้าที่แล้วนั้น หน้าที่ทหารก็คือปราบปรามกบฏและจลาจล ถ้ามีกบฏ ถ้ามีจลาจล เป็นหน้าที่ทหาร แต่ถ้ายังไม่ถึง ตำรวจก็ดูแล และถ้าขอบเขตนั้นกว้างขวาง ไม่ถึงกบฏ ไม่ถึงจลาจล ทหารอาจถูกขอให้ไปเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน

ด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ซนั้นจะถึงขั้นเกิดจลาจลขึ้นหรือไม่ว่า ตอนนี้ทุกคนก็เห็นภาพว่าเป็นอย่างไร มันยังไม่ถึงขนาดนั้น การจะพูดอะไรคนเราก็พูดได้หมด แต่ขอให้สบายใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลอยู่ และเชื่อว่าที่เจ้าหน้าที่ทำมานั้นได้ผล มีประสิทธิภาพ

เพราะจะเห็นได้จากจำนวนผู้เข้าร่วมการชุมนุมลดน้อยลงไปทุกวัน และสามารถจับกุมได้อย่างต่อเนื่อง กระบวนการทางกฎหมายต้องเดินตามขั้นตอน เราจะไปกระโดดข้ามไม่ได้ จะไปเร่งให้เร็วหรือช้านั้นไม่ได้ ทุกอย่างต้องเดินไปตามนั้น แต่กระบวนการทางกฎหมายไม่เคยหยุด คนที่มีคดีสะสมก็พอกไปเรื่อยๆ

ช่วงนี้การไต่สวนคดีต่างๆ อาจจะประสบปัญหาเรื่องโควิด-19 และทางศาลก็มีข้อจำกัดเรื่องนี้ แต่อย่าลืมว่ามันไม่จบ เพราะฉะนั้นคนที่จะทำต้องคิดให้ดี โดยเฉพาะการไปชักจูงใจปั่นหัวเยาวชนให้ออกมาใช้ความรุนแรง ซึ่งต้องฝากครอบครัวและผู้ปกครองช่วยดูแล แต่ที่ผ่านมาจะเห็นว่าจำนวนผู้ชุมนุมลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนช่วงนี้แทบจะไม่มี

เพราะเราใช้มาตรการที่เห็นว่าเหมาะสมและสมควรทั้งมาตรการทางกฎหมายและมาตรการการใช้กำลังเท่าที่จำเป็น ถือว่าเราทำได้ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนที่เขาประกาศว่าจะยกระดับนั้นก็ต้องติดตามสถานการณ์ไป เราประเมินแล้วว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่เราก็ไม่ประมาท ใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการต่อ

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่แยกดินแดนจะต้องเคลียร์ให้จบก่อนเปิดประเทศหรือไม่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ต้องดูว่าความขัดแย้งมาจากเรื่องอะไร ซึ่งต้นเหตุอยู่ตรงนั้น การใช้กำลังปราบปรามจับกุมเป็นเรื่องปลายเหตุ ดังนั้นเราต้องไม่ทำตัวเป็นเงื่อนไข เพื่อให้ขยายตัวมากขึ้น เราต้องทำให้มันเล็กลง แต่จะให้หมด 100% อาจจะค่อนข้างยาก แต่เชื่อว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้และไม่เป็นอุปสรรคต่อการเปิดประเทศ

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน