“พิชัย” ห่วง “ประยุทธ์” ทำไทย “หายนะในแบบช้าๆ” ชี้ แม้ทุนสำรองมาก แต่ทุกอย่างเสื่อมถอย ไม่มีแนวทางพัฒนา สูญเสียการนำในอาเซียน แนะแก้รัฐธรรมนูญ หลุดพ้นเผด็จการ ทำแบบเกาหลีใต้ ไทยถึงจะรอด

วันที่ 9 ธ.ค.64 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลอ้างว่าประเทศไทยมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในระดับสูงถึง 2.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับที่ 12 ของโลก ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง และน่าจะเป็นจุดแข็งจุดเดียวที่ประเทศไทยยังมีอยู่ โดยเกิดจากการสะสมเงินตราต่างประเทศมาหลายรัฐบาลตั้งแต่หลังต้มยำกุ้งที่ทุนสำรองหายไปหมดจากการที่แบงก์ชาติไปสู้ค่าเงินบาท

ดังนั้น จึงเป็นบุญเก่าที่ประเทศไทยสะสมมา แต่กลับไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยมีแต่จะเสื่อมถอยในทุกด้าน มีแนวโน้มที่แย่ลงไปเรื่อยๆ เหมือนที่บทวิเคราะห์ของสื่อหลักต่างประเทศ นิเคอิ เอเชีย วิเคราะห์ตั้งแต่ต้นปีนี้ว่า ประเทศไทยจะเป็น “หายนะในแบบช้าๆ” (Disaster in Slow Motion) คล้ายกับทฤษฎีกบต้มที่ผมเคยเตือน แต่ถูกพล.อ.ประยุทธ์ ส่งคนมาดำเนินคดี

การมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมาก แต่ประเทศไทยกลับไม่พัฒนาหรือพัฒนาน้อยมาก เป็นความด้อยประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์มากกว่าจะเป็นผลงาน ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลัง มีรถไฟความเร็วสูงเพียง 3.5 กม. ใช้เวลาก่อสร้างถึง 2 ปีครึ่ง แทนที่จะมีรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ ถึงหนองคาย เชื่อมไปลาวต่อไปถึงจีนแล้ว อีกทั้งควรมีรถไฟความเร็วสูงถึงเชียงใหม่ และเชื่อมลงไปทางใต้ถึงมาเลเซีย แถมค่าทางด่วนที่ขึ้นราคาแพงมหาโหด ค่าโดยสารรถไฟใต้ดิน และค่าโดยสารรถไฟลอยฟ้า แพงติดอันดับโลก

เมื่อเทียบกับรายได้ของประชาชนที่ต่ำเตี้ย ยิ่งตอกย้ำปัญหาให้มากยิ่งขึ้น คุณภาพการศึกษาที่รั้งท้ายอาเซียน ระบบอินเตอร์เน็ตที่นักเรียนต่างจังหวัด และผู้มีรายได้น้อยยังเข้าได้ไม่ทั่วถึง ระบบราชการที่ล้าหลัง เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่เกิดได้ยากเพราะติดปัญหาข้อกฎหมาย และสภาพแวดล้อม

ระบบการจัดการน้ำที่ไม่พัฒนา เกษตรกรต้องเผชิญกับภาวะน้ำท่วมน้ำแล้งทุกปี รายได้ประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรที่มีแต่ต่ำเตี้ยลงมาตลอด เรื่องเหล่านี้ไม่มีการแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัยเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แล้วการมีทุนสำรองระหว่างประเทศมากๆ จะเกิดประโยชน์อะไร เปรียบเหมือนเศรษฐีที่ทำธุรกิจไม่เป็น ได้แต่รอกินบุญเก่า รอวันเจ๊ง รอวันหมดตัวเท่านั้น

ภาวะ “หายนะในแบบช้าๆ” นี้ กลับย่ำแย่กว่าที่สื่อหลักต่างประเทศวิเคราะห์ไว้ตอนต้นปีเสียอีก เพราะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ขยายตัวได้ต่ำเตี้ยอาจไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ หนี้สาธารณะที่พุ่งสูงกว่า 9 ล้านล้านบาท และทะลุเพดาน 60% จนต้องขยายเพดานหนี้ หนี้ครัวเรือนพุ่งขึ้นกว่า 14.24 ล้านล้านบาทที่ประชาชนยังไม่รู้จะหารายได้ที่ไหนมาใช้หนี้

หนี้เสี่ยงของธนาคารที่อาจจะเป็นหนี้เสียกว่า 2 ล้านล้านบาท หนี้นอกระบบที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวกว่า 85,000 ล้านบาท คนว่างงานกว่า 870,000 คน สูงสุดใน 20 ปีและจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาเหล่านี้พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่รู้เลยว่าจะแก้ไขได้อย่างไร ซึ่งเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่จะปะทุออกมาได้เสมอ และจะเป็นหายนะข้างหน้าอย่างที่เห็นได้ชัดเจน

ขณะที่หนี้ต่างๆเพิ่มขึ้นสูง จนเรียกได้ว่า “ประเทศหนี้ล้น ประชาชนหนี้ท่วม” การหารายได้กลับลดลงหมด รัฐเก็บรายได้พลาดเป้ามาเกือบทุกปี ปีที่ผ่านมาเก็บรายได้พลาดเป้าไป 3.07 แสนล้านบาท จนเริ่มต้นปีงบประมาณก็ต้องติดลบแล้ว และยังมีแนวโน้มที่จะพลาดเป้าอีกในปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้เงินเยียวยาโควิดจำนวนมาก ทำให้ขาดดุลการคลังปีละกว่า 1 ล้านล้านบาทติดกัน 2 ปีซ้อน รายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 2 ปี

แม้การส่งออกจะดีขึ้น แต่เงินตราต่างประเทศไหลออกยังมากกว่าไหลเข้า ทำให้รัฐบาลขาดดุลซ้อน คือทั้งขาดดุลการคลังและขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจ และทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่า อีกทั้งการส่งออกที่ฟื้นก็มาจากบุญเก่า เพราะการลงทุนใหม่มีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ในอนาคตประเทศไทยจะพัฒนาอะไรเป็นเครื่องจักรของการเจริญเติบโต (Growth Engine) ยังไม่เห็น ที่คาดหวังว่า EEC จะมีการลงทุนมาก กลับเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะแนวคิดตกยุคและหมดสมัยแล้ว แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับไม่เข้าใจ

ประเทศสูญเสียความเป็นผู้นำของภูมิภาคไปเรื่อยๆ ทั้งการเสียศูนย์กลางการขนส่งทางรางไปให้กับประเทศลาว หลังจากรถไฟความเร็วสูงของจีน-ลาว เสร็จ เพราะกว่าไทยจะสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อเสร็จ ลาวคงพัฒนาต่อไปไกลแล้ว ไทยเสียศูนย์กลางผลิตรถยนต์สมัยใหม่ในภูมิภาคนี้ให้กับอินโดนีเชีย และอินโดนีเซียกลายเป็นผู้นำด้านบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปแล้ว เนื่องจากมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และพัฒนาด้านนี้มาก

อีกทั้งมีประชากรกว่า 277 ล้านคนรองรับ ประเทศไทยสูญเสียการเป็นศูนย์กลางผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าไฮเทคให้กับเวียดนาม โดยบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่แห่กันไปลงทุนในเวียดนามกันหมด ยอดการส่งออกของเวียดนามก็แซงการส่งออกของไทยมาหลายปีแล้ว แซงแล้วแซงเลย เพราะการลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนามก็มีมากกว่าไทยมาก

ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยที่ช่องว่างของคนรวยและคนจนต่างกันมาก เป็นเรื่องใหญ่ที่ไทยติดอันดับ 1 ในความเหลื่อมล้ำของโลกหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศเพียงไม่กี่ปี โดยมาเปิดเผยให้เห็นสาเหตุที่ชัดเจนจากคำพูดของพล.อ.ประยุทธ์ ที่บอกว่าคนรวยใช้ทางด่วน คนจนวิ่งทางข้างล่างถือเป็นความเท่าเทียม เพราะหลักคิดนี้เจ้าสัวไทยถึงได้รวยขึ้นมาก ในขณะที่คนจนไทยยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งชาวนา กรรมกร เกษตรกร ลูกจ้าง คนหาเช้ากินค่ำ คนทำงานกลางคืน นักศึกษาจบใหม่ที่หางานทำไม่ได้ ฯลฯ คนที่จนอยู่แล้วยิ่งจนลงไปอีก

ดังนั้น การที่ประเทศไทยมีเงินทุนสำรองต่างประเทศในระดับสูง แต่ประเทศไม่พัฒนา กลับกลายเป็นปัญหามากกว่า เพราะผู้นำขาดความรู้ความเข้าใจเศรษฐกิจ จะคิดว่าประเทศกำลังไปได้ดี ทั้งที่ความจริงประเทศกำลังเสื่อมถอยอย่างหนัก เงินทุนสำรองต่างประเทศที่สูงกลับกลายเป็นอุปสรรคที่ไม่ผลักดันให้ประเทศมีการเปลี่ยนแปลง เพราะหากประเทศไทยขาดเงินทุนสำรองนี้ ประเทศไทยจะต้องรีบปรับตัวก่อนที่จะพังกันหมด แต่นี่กลับกลายเป็นการถ่วงการเปลี่ยนแปลงแต่สุดท้ายก็จะพังหมดอยู่ดี ยิ่งเปลี่ยนแปลงช้ายิ่งพังหนัก

หนทางแก้ไข ซึ่งอยู่ในช่วงวันรัฐธรรมนูญนี้ จึงอยากเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง กำจัดการสืบทอดของเผด็จการ ซึ่งจะทำให้ไทยได้ผู้นำที่มาจากประชาชนและมีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผู้นำที่ตกยุค แต่อาศัยรัฐธรรมนูญและเสียง ส.ว.โหวตเข้ามาเป็นนายกฯ ซึ่งทำให้ประเทศไม่ไปไหน และจะเสื่อมถอยไปเรื่อยๆ อยากให้ดูเกาหลีใต้เป็นตัวอย่าง หลังจากหลุดพ้นจากระบบเผด็จการ เกาหลีใต้พัฒนาไปได้ไกลมากในทุกด้าน ไทยควรต้องยึดเป็นแบบอย่างเช่นกัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน