จุลพันธ์ ฉะรัฐบาลปกปิดโรคระบาดในหมู ประภัตรแจงวุ่น ยันไม่ปกปิด พร้อมโชว์ผลแล็บ ตรวจซากหมูตาย เป็นโรค ‘พีอาร์อาร์เอส’ หอบข้อมูลสต๊อกหมูส่ง นายกฯพรุ่งนี้ เมื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 20 ม.ค.2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย(พท.) ถามนายกฯ เรื่องสถานการณ์โรคระบาดในหมูว่า โรคอหิวาต์แอฟริกา หรือ ASF ในหมูที่มีความรุนแรง ทำให้หมูราคาแพงกระทบทั้งผู้เลี้ยงหมู และทำให้กระทบราคาสินค้าอื่นๆด้วย เช่น ไก่ ไข่ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ แพงตามไปด้วย มีการปกปิดการระบาดของโรคมา 3 ปี เพราะราคาหมูถีบตัวสูงขึ้น ประชาชนเดือดร้อนทั้งประเทศ เมื่อจำนนต่อหลักฐาน กรมปศุสัตว์ก็ออกมายอมรับว่ามีโรคเอเอสเอฟจริง จึงอยากถามว่า ทำไมรัฐบาลจึงปกปิดโรคดังกล่าว จนทำให้ประโยชน์ไปตกกับผู้ค้ารายใหญ่ และรัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างไรในระยะสั้น กลาง ยาว เพื่อไม่ให้ราคาหมูแพง นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่า เมื่อเดือนส.ค.2562 เจอซากสุกรลอยน้ำในแม่น้ำโขง ที่อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ตนลงพื้นที่และได้ตรวจพิสูจน์ซากหมู เชื่อว่าเป็นโรคระบาดในสุกรที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น ต้องกำจัดด้วยการทำลายสุกร ทั้งนี้ สุกรยังไม่เป็นโรค แต่ต้องสกัดกั้นการระบาด และหยุดให้ได้ ผลแล็บระบุว่าไม่พบอหิวาต์แอฟริกา เป็นการตรวจไวรัส แต่พบพีอาร์อาร์เอส ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ยอมรับ แต่ผลแล็บยืนยันมาแบบนี้ ผมขอทำความเข้าใจกรณีการปกปิด ทั้งนี้ โรคในสุกรที่ตายจำนวนมาก คือ โรคเอเอสเอฟ โรคพีอาร์อาร์เอส ระบบสืบพันธุ์และระบบหายใจ และอหิวาต์ในสุกร ซึ่งอาการของโรคเหมือนกัน และตายภายใน 1 วัน โดยเอเอสเอฟ ไม่มีวัคซีน ส่วนโรคพีอาร์อาร์เอส เกษตรกรไม่อยากฉีดเพราะยามีราคาแพง ส่วนซีเอสเอฟ ฉีดได้ทุกตัวเพราะราคาถูก ผลแล็ป อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ ที่หมูตายพอสมควร ระบุว่าเป็นพีอาร์เอส ยังไม่พบเอเอสเอฟ ส่วนโรคซีเอสเอฟ เพิ่งเจอปี 2565 ที่โรงฆ่าสัตว์นครปฐม ยืนยันว่าตนไม่มีเจตนาจะปกปิด และรัฐบาลไม่มีการปกปิดเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องที่เสียหายทั้งระบบ สำหรับหมูที่ตายทั้งสิ้น 2.7 แสนตัว ผลแล็บบอกว่าเป็นพีอาร์อาร์เอส นายประภัตร ชี้แจงด้วยว่า ปริมาณหมูในประเทศมีจำนวน 19 ล้านตัว มีกลุ่มผู้เลี้ยงรวม 1.9 แสนราย แบ่งเป็นรายย่อยและรายเล็ก 1.8 แสนราย มีปริมาณหมูที่เลี้ยง 4 ล้านตัว ขณะที่รายใหญ่ 200 ราย และ รายกลาง 3,000 ราย มีปริมาณหมูที่เลี้ยง 15 ล้านตัว ส่วนราคาหมูที่แพง กรมการค้าภายในเป็นผู้กำหนดราคา สาเหตุที่ราคาเนื้อหมูแพง เนื่องจากราคาอาหารสัตว์ และราคาลูกหมู โดยพบว่าเดือนพ.ย.2564 ราคาต้นทุนการเลี้ยง 82 บาท เขียงหมูขาย 160 บาท แต่ในเดือนธ.ค. 2564 – ม.ค. 2565 ต้นทุนขึ้น 91 บาท ราคาหน้าฟาร์ม 110 บาท ราคาขายเนื้อแดง 215 บาท ทั้งนี้ การที่หมูตาายมีส่วนทำให้เนื้อหมูแพง แต่ไม่ใช่ขาดหายไปเลย “ยืนยันว่าข้าราชการไม่ได้ปกปิดเพื่อใคร พราะไม่ได้ประโยชน์ พวกเราทำงานเต็มที่ วันนี้ผมมาเพื่อชี้แจง ไม่ใช่มาแก้ตัวว่า 3 โรคนี้ ใบแล็บออกมา เป็นพีอาร์อาร์เอส ไม่ใช่เอเอสเอฟ ผมไม่ใช่สัตวแพทย์ จะไปแย้งเขาไม่ได้ เพราะเขารายงานมาอย่างนี้จริงๆ” นายประภัตร กล่าว ด้านนายจุลพันธุ์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐมนตรีมาสรุปว่าไม่มีโรคเอเอสเอฟ และหมูไม่ได้หายไปไหน ตนตกใจมากเพราะสถานการณ์ชี้ชัดว่ามีปัญหา เป็นการปกปิดเรื่องของโรคระบาดอย่างเป็นระบบ ขอท้าพิสูจน์ให้ขนศพหมูขึ้นมาตรวจอีกครั้ง รับประะกันว่าเจอโรคเอเอสเอฟแน่นอน ส่วนราคาเนื้อหมูที่สูงขึ้น เชื่อว่ามีผู้ได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากราคาที่ถีบตัวสูงขึ้น จากผู้ค้าที่เก็บสต๊อกเนื้อหมู ซึ่งตนพร้อมพาไปแหล่งที่เก็บสต๊อกเนื้อหมู ไม่ใช่ไปตรวจสต๊อกที่โรงเนื้อแกะและเนื้อวัว แล้วจะเจอสต๊อกเนื้อหมูได้อย่างไร นายประภัตร ตอบกลับว่า ตนไม่ได้แกล้งเซ่อ บางทีเราก็ตามไม่ทันเหมือนกัน ส่วนการแก้ไข ทางกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่ และวันนี้ตนต้องเอาตัวเลขสต๊อกหมูและเลขอื่นๆ นำไปให้นายกฯ ดูว่าเป็นอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลที่นายกฯจะได้ตัดสินใจในวันพรุ่งนี้(21 ม.ค.) และได้กำชับปศุสัตว์จังหวัดทุกจังหวัดต้องส่งตัวเลข รวมกับกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 21 ม.ค.ว่า สต๊อกหมูฟาร์มเล็ก ฟาร์มใหญ่มีอยู่เท่าไร จะได้ประเมินถูกว่าเรากินวันละ 5 หมื่นตัว ยังขาดอยู่เท่าไร จำเป็นหรือไม่จะต้องนำเข้าหมูหรือไม่ เพื่อให้พอกับผู้บริโภค ราคาหมูจะได้ลง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน