‘พีมูฟ’ เข้ารับทราบข้อหา ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน จี้หยุดใช้เป็นเครื่องมือ ปิดปากประชาชน ทนายชี้ไม่ควรถูกดำเนินคดี เพราะมาติดตามประเด็นที่เคยเรียกร้องกับรัฐบาล

เมื่อเวลา 10.00น.วันที่ 1 มีนาคม 2565 ที่ สน.นางเลิ้ง ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-MOVE) นำโดย นายจำนง หนูพันธุ์ ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค กับพวก พร้อมทนาย เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.บ. ฉุกเฉิน จากกรณีชุมนุมระหว่าง 20 ม.ค. 65 ถึง 3 ก.พ.2565

โดยมีน.ส.เนืองนิช ชิดนอก สมาชิกเครือข่ายสลัมสี่ภาค อ่านแถลงการระบุว่า พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่าน พวกเราขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ เดินทางมายังสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งวันนี้เพื่อรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ที่กล่าวหาว่าการเคลื่อนไหวเพื่อทวงสิทธิในความเป็นคนของเราเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ที่ผ่านมาพีมูฟ ยืนหยัดต่อสู้เพื่อสิทธิอันพึงมี ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ พวกเราถูกกระทำผ่านกฎหมายและนโยบายของภาครัฐที่ทิ้งเราไว้ข้างหลัง กดทับ ละเมิดสิทธิของพวกเรา ที่เป็นคนจนเมือง กลุ่มคนไร้บ้าน ประชาชนในเขตป่า และกลุ่มชาติพันธุ์ สิ่งที่พวกเราทำได้จึงมีเพียงการลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเท่านั้น เพราะหากไม่สู้ เราคงถูกกดทับไปชั่วลูกชั่วหลาน ไม่มีทางได้ลืมตาอ้าปากและปลดพันธนาการทางชนชั้นได้

ราคาที่เราต้องจ่ายจากการออกมาเรียกร้องสิทธิ คือการถูกแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจำนวน 2 หมาย รวมทั้งสิ้น 16 คน ที่ประกอบด้วย พวกเราชาวบ้านพีมูฟ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพีมูฟ

พวกเราเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้สะท้อนภาพบ้านเมืองของเราที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการใช้กฎหมายปิดปากประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เราต้องเดินทางมาจากต่างที่ต่างถิ่น บางคนต้องเดินทางอย่างยากลำบาก ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลและตำรวจไม่สมควรกระทำกับเราเช่นนี้

เราจึงขอประกาศย้ำข้อเรียกร้องเดิมของเรา คือการต้องเร่งยุติกระบวนการทางกฎหมายกับพวกเราทั้ง 16 คน รวมถึงต้องยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยเร็วที่สุด

พวกเรายืนยันว่า การลุกขึ้นมาส่งเสียง การลุกขึ้นมาใช้สิทธิปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนและเรียกร้องสิทธิที่ประชาชนพืงมีนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาระหว่างประเทศ แม้วันนี้พวกเราจะถูกกระทำ แต่ก็จะขอลุกขึ้นสู้ จนกว่าสิทธิในการกำหนดชีวิตของประชาชน จะเป็นของประชาชนโดยแท้จริง

ด้าน นายจำนงค์ กล่าวว่า เรากำลังต่อสู้ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นการขัดขวางประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาของตนเอง โดยไม่สนใจข้อเรียกร้องของประชาชน จึงอาจจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ส่วนการยุติคดีนั้น ต้องเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อออกหมายเรียก ก็ต้องมารายงานตัวส่วนขั้นตอนการเรียกร้องต่างๆ จะว่ากันต่อว่าจะทำอย่างไรให้ยุติคดี ซึ่งได้ประชุมกับทาง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เพื่อยื่นกรณีนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากนโยบายของรัฐบาล โดยนายสมศักดิ์รับปากว่าจะทำให้เสร็จภายใน 3 เดือนซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่าจะทำได้จริงหรือไม่

ขณะที่ น.ส. ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ทนายความกลุ่มพีมูฟ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นทนายความ มองว่าการชุมนุมดังกล่าวไม่ควรถูกดำเนินคดี เนื่องจากเป็นการมาติดตามประเด็นที่เคยเรียกร้องกับรัฐบาล แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหา หากรัฐบาลยังใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาแก้ไขปัญหา ด้วยการดำเนินคดีกับชาวบ้านที่มาชุมนุม ตนมองว่าเป็นการใช้กฎหมายมาปิดปากประชาชน

ดังนั้นควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะไม่ได้ใช้แก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด แต่ใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับประชาชนที่มาเรียกร้องสิทธิต่างๆ สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือการแก้ปัญหาที่เรียกร้อง ไม่ใช่การดำเนินคดี โดยในวันนี้มีผู้ที่มารับทราบข้อกล่าวหาทั้งหมด 12 คน เนื่องจากมี 3 คนที่มีความเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด และอีก 1 คน อยู่ไกลมาก และต้องดูแลผู้ป่วย หลังรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ก็จะทำเรื่องเรียกร้องให้มีการงดเว้นการดำเนินคดีต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาในคดีนี้ที่ถูกออกหมายเรียกทั้งหมด 16 คน ได้แก่ นายจำนง หนูพันธ์, นางพรภินันท์ โชติวิริยะนนท์, นายพชร คำชำนาญ, น.ส.จันทร ต้นน้ำเพชร, นายวิทวัส เทพสง, นาง หนูเกณ อิทจันทร์, นางมะไล เจียงเพ็ง, นายนิธิป คงทอง, นายวัลลภ พันธ์ดี, นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, นาย ชาติชาย แกดำ, นายธนาดล จันทราช, นายภานุพงศ์ ศรีกระสินธุ์, นางสาวอรวรรณ์ ภู่พงษ์ และ น.ส.ดวงพร วิรัตน์ธัญญารักษ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน