เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 31 มกราคม ศาสตราจารย์พิเศษชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และนักวิชาการ เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในความผิด ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ผู้ใดนำเข้า เผยแพร่หรือส่งต่อ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ตามหมายเรียก กรณีแชร์ภาพกระเป๋าถือของนางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแสดงความคิดเห็นในลักษณะว่า “เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมดัง มีราคาแพง ที่คนชั้นสูงใช้กัน”

เบื้องต้นศาสตราจารย์พิเศษชาญวิทย์ ขอให้การปฎิเสธ ยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นการแสดงความคิดเห็รในฐานะประชาชนซึ่งมีสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารย์ผู้นำ ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ สามารถพึงกระทำได้ไม่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรม มองว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการเมือง เนื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาตนมีความเกี่ยวข้องในเรื่องของการเมืองมาทุกสมัย

ถูกเรียกตัวมารับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ตนยังไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่เรียกมารับทราบข้อกล่าวหาใครเป็นต้นเรื่อง ในแง่นี้ข้อกล่าวหาคืออะไร ซึ่งโดยส่วนตัวตนเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ผิดกฎหมายและศีลธรรม เป็นการแสดงความเห็นในฐานะประชาชนคนหนึ่งเท่านั้น ที่แสดงความคดเห็นเกี่ยวกับคนระดับสูงซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่คนในระดับนั้นจะต้องรับฟังความคิดเห็น

เฟซบุ๊กใครๆ ก็ทราบว่าเป็นสื่อที่เผยแพร่อย่างรวดเร็ว จะให้มาตรวจสอบก็คงเป็นไปได้ยาก ตนเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าคนในระดับสูงใช้ของราคาสูงๆ นั้นอย่างไร ตั้งแต่ตนเป็นอาจารย์มา 40-50 ปี ไม่เคยโดยเรียกตัวอย่างนี้ ในชีวิตของการทำงานในม.ธรรมศาสตร์นั้นผ่านมา 3 ตุลาคมก็ดี 14 ตุลาคมก็ดี อย่างดีก็แค่มีการใส่ร้าย ป้ายสี แต่การโดนเรียกตัวจากทางราชการนั้นเป็นครั้งแรกถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในบั้นปลายชีวิต ตนสอนหนังสือมา 40-50 ปี สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยก็ได้แค่เพียงมหาวิทยาลัย แต่การสอนหรือเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางเฟซบุ๊กทำให้คนทั่วประเทศไทยรับความรู้แพร่กระจาย

ตนก็สังขารใจอยู่เหมือนกันว่าการตั้งข้อกล่าวหาใครเป็นคนตั้ง แต่ตนมีความรู้สึกว่าการที่ตนถูกเล็งเป้า ฟ้องร้องกล่าวหา เป็นเกมการเมืองก็ได้ หรือเรียกว่าเป็นคดีปิดปาก ทำให้ไม่กล้าพูด ซึ่งตนไม่ต้องการให้สังคมปิดปากเกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา ตนอย่างฝากไปยังเพื่อน ๆ ว่าอย่าไปรับเลยตำแหน่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามตนก็แสดงความคิดเห็นตามปกติ จะดำเนินชีวิตไปตามปกติคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว สุดท้ายนี้ตนขอให้การปฎิเสธ ยืนยันว่าสิ่งที่ทำเป็นการแสดงความคิดเห็รในฐานะประชาชนซึ่งมีสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารย์ผู้นำ ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ สามารถพึงกระทำได้ไม่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรม มองว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของการเมือง เนื่องตลอดเวลาที่ผ่านมาตนมีความเกี่ยวข้องในเรื่องของการเมืองมาทุกสมัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน