พิธา มั่นใจ วันนอร์ ทำหน้าที่ ประธานสภาฯ ได้ เชื่อ ไม่ใช่ร่างทรงเพื่อไทย โชว์ภาวะผู้นำ ยอมถอยเพื่อเป้าหมายนายกฯ ฟุ้งเสียง ส.ว.เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 4 ก.ค. 2566 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ จะมีอะไรพลิกโผหรือไม่ว่า ไม่มี น่าจะราบรื่นไปได้ด้วยดี พรรคก้าวไกลจะพูดกับ ส.ส.พรรคก้าวไกล ให้ราบรื่น

เมื่อถามว่าได้ทำความเข้าใจกับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ที่เดิมถูกวางตัวให้เป็นประธาน แต่มีกระแสข่าวได้เป็นรองประธานสภาฯ นายพิธา บอกว่า ได้ทำความเข้าใจมาตลอด คุยกันทุกวัน นายปดิพัทธ์อยู่ร่วมในการตัดสินใจด้วย และเป็นคนที่มีสปิริตแรง เป็นตามหน้าที่ ไม่ใช่หน้าตา

เมื่อถามว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงจุดยืนไม่โหวตประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ จากพรรคที่ยึดมั่นการแก้มาตรา 112 พรรคก้าวไกลจะดำเนินการอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตนไม่เห็นรายละเอียด ทั้งนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ มีประสบการณ์และความเหมาะสม

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทย หนุนนายพิธา ให้เป็นนายกฯ เป็นทิศทางที่สวยงามหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า การรักษามิตรภาพเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า และทำให้เห็นความหนักแน่นของพรรคก้าวไกล ที่เรามองว่าหลักการสำคัญกว่าบุคคล เมื่อคุยกับนายมูหะมัดนอร์ ท่านรับหลักการทุกอย่าง ทั้งการบริหารงานสภาฯ ให้มีความโปร่งใส รวมถึงกฎหมายสำคัญ 4 ข้อที่ได้แถลงร่วมกัน ตนจึงมองว่าหลักการสำคัญกว่า

เมื่อถามว่าการเสนอชื่อนายมูหะมัดนอร์ จะทำให้กระทบเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เสียงตอบรับจากช่องทางต่างๆ เป็นเสียงตอบรับที่ดี และนายมูหะมัดนอร์ จะมาทำให้สภาฯ ก้าวหน้าได้

เมื่อถามว่านายมูหะมัดนอร์ ถูกมองว่าเป็นร่างทรงพรรคเพื่อไทย การได้ตำแหน่งครั้งนี้ ถือว่าถูดปาดหน้าหรือไม่ เพราะนายมูหะมัดนอร์ เสมือนคนเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า เป็นเพียงเสมือน แต่นายมูหะมัดนอร์เป็นผู้ใหญ่ มีความคิดเป็นของตัวเอง พิสูจน์ตัวเองตั้งแต่ปี 2522 ซึ่งจากการที่ได้ทำงานใกล้ชิดมา เชื่อมั่นว่าเป็นตัวของตัวเอง สภาฯ ก้าวหน้า ประชาชนไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่ากฎหมายที่จะผลักดันมีเรื่องนิรโทษกรรมด้วย จะไม่ขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ถ้าแถลงร่วมกันแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ก็น่าจะจบไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 ก.ค. เมื่อถามว่าประด็นมาตรา 112 ที่เป็นนโยบายของพรรคก้าวไกลจะถอยมาก่อนหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ก่อนเลือกตั้งอย่างไร หลังเลือกตั้งก็เป็นแบบนั้น

เมื่อถามว่าขณะนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวบรวมเสียง ส.ว. ได้จำนวนเท่าไหร่ นายพิธา กล่าวว่า ขอให้รอดูเวลาใกล้ๆ แต่มากขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ ตนคิดว่าการส่งสัญญาณว่าใครมีภาวะผู้นำที่ดี รุกได้ถอยเป็น และรู้ว่าหลักการการเสนอประธานสภาฯ คือพรรคอับดับ 1 แต่ขณะเดียวกันการรักษาเอกภาพ เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเป็นสิ่งสำคัญ แสดงให้เห็นว่าผู้นำคนนี้มีความเข้าใจว่า เมื่อเวลารุกก็ต้องรุกให้สุด เมื่อเวลาถอยถ้าไม่เสียหลักการและได้ในสิ่งที่เราต้องการ เห็นความก้าวหน้าของสภาฯ และเจตจำนงประชาชนเป็นที่ตั้ง ก็น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างให้ ส.ว.ได้เห็น

“คำว่ารุกได้ถอยเป็น ขึ้นอยู่ที่บริบท และคงต้องดูเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งคนเป็นผู้นำต้องตัดสินใจเป็น โดยประกอบกับข้อมูลและบริบทในสถานการณ์นั้น หากคุณจะก้าวกระโดดให้ไกล ต้องถอยนิดหน่อย ถ้าคุณไม่ถอยก็ยืนอยู่กับที่ หรือกระโดดไม่ไกล ดังนั้น ขึ้นอยู่สถานการณ์ แต่แน่นอนต้องไม่ขัดหลักการ ไม่ขัดกับสิ่งที่เสนอไว้ประชาชน และไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่ามองข้ามช็อตไปถึงวันเลือกนายกฯ หรือยัง นายพิธา กล่าวว่า เวลามองต้องมองไกล แต่เวลาปฏิบัติต้องมองวันต่อวัน วิธีทำงานเป็นเช่นนั้น เมื่อถามว่าความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย ได้เคลียร์ใจกันบ้างหรือไม่ นายพิธา บอกว่า ได้คุยกันมาตลอด แต่การทำงานร่วมกันก็มีทั้งที่เห็นด้วยและถกกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาตลอด 4 ปี ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน เมื่อถามว่าจนถึงขณะนี้การเป็นนายกฯ คนที่ 30 ยังสดใสหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “สดใส และมั่นใจครับ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน