ศรีสุวรรณ บุก กกต. ชี้เบาะแสให้ไต่สวน ‘จักรกฤษณ์’ สส.บุรีรัมย์ ภูมิใจไทย ปมถือหุ้นไอทีวี เหมือน พิธา หรือไม่ หากเหมือนกันให้ส่งศาลรธน.วินิจฉัย

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน เข้ายื่นคำร้องเพื่อแจ้งหรือชี้เบาะแสให้ กกต.ได้ใช้อำนาจตาม มาตรา 41 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต. และมาตรา 151 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. เพื่อให้สืบสวน หรือไต่สวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานอันควรสงสัยและเชื่อได้ว่านายจักรกฤษณ์ ทองศรี สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย ถือครองหุ้นสื่อมวลชนในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 40,000 หุ้น อันเป็นข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา98(3) ประกอบ มาตรา106(6) หรือไม่ อย่างไร

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณี สส.พ้นจากตำแหน่ง จำนวน 100 ราย ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. วันที่ 17 มี.ค.และ 20 มี.ค.66 จำนวน 100 คน เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ปรากฎว่านายจักรกฤษณ์ ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับ ป.ป.ช.ว่า ถือครองหุ้นไอทีวี ด้วย 40,000 หุ้น แต่มิได้ระบุมูลค่า และวันเดือนปีที่ได้มา

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าว อาจเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถือครองหุ้นสื่อไอทีวีไว้ 42,000 หุ้น ที่ถูก กกต.ไต่สวนและมีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปก่อนหน้านี้ แต่อาจแตกต่างกันในรายละเอียด เพราะนายจักรกฤษณ์ อ้างว่า ได้ยกหุ้นตัวนี้ให้กับลูกพี่ลูกน้องตั้งแต่ปี 2561 ก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 แล้ว

ส่วนที่ยังมีอยู่ในบัญชีทรัพย์สินที่แจ้งกับ ป.ป.ช.นั้น อ้างว่าหุ้นไอทีวีหยุดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่ถูกยกเลิกสัมปทานปี 2561 จึงทำสัญญายกหุ้นให้ลูกพี่ลูกน้องก่อนเลือกตั้ง เพราะไม่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งเวลาทำหนังสือไปขอให้ตลาดหลักทรัพย์ ออกใบรับรองหุ้น ซึ่งตนมีหุ้นตัวอื่นอยู่ด้วย และจะเห็นชัดเจนว่าไอทีวี 4 หมื่นหุ้นจริง แต่ไม่มีมูลค่า เพราะไม่มีการซื้อขาย ที่สำคัญหุ้นก็คือสังหาริมทรัพย์ สามารถทำหนังสือยกให้ ซึ่งก็ถือว่ามีผลสมบูรณ์แล้ว

คำชี้แจงผ่านสื่อดังกล่าว ข้อเท็จจริงเป็นเช่นใดแน่ไม่มีใครรู้ ดังนั้น เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันกับนายพิธา ตนจึงนำความมาแจ้งหรือชี้เบาะแสให้ กกต.ใช้อำนาจตามกฎหมายในการสืบสวนหรือไต่สวนกรณีดังกล่าวให้ชัดเจน และหากพบว่ามีลักษณะเดียวกับนายพิธา ก็ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นที่สุดตามครรลองของกฎหมายต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน