จุติ ยันได้เบี้ยผู้สูงอายุเหมือนเดิม โยนรัฐบาลใหม่เคาะหลักเกณฑ์ เผยมีผู้สูงอายุแสดงสิทธิ์ 11 ล้านคน แต่มีคนที่จนจริงเพียง 4 ล้านคน ซัด “วิโรจน์” วาทะกรรมใครก็พูดได้ แต่อยู่ที่จิตสำนึก ฝากถึง รมว.พม.คนใหม่

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 15 ส.ค.66 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ ว่า กระทรวงมหาดไทยไม่ได้โยนมายัง พม. ซึ่งเขาทำตามระเบียบตามกฎหมาย เพราะทุกคนไม่อยากทำผิดกฏหมาย รัฐธรรมนูญเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนตาม และต้องคอยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติกำหนดเกณฑ์ พร้อมชี้แจงรายละเอียดความชัดเจนขณะนี้ 1.ทุกคนที่ได้รับเบี้ยยังชีพเหมือนเดิมทุกประการ 100% ไม่มีใครตกหล่น 2.ต้องรอคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ 3.เป็นแนวทางเลือก ตามมารยาทแล้วอยู่ที่รัฐบาลใหม่ว่าให้ทำอย่างไร 4.ความกังวลว่าเวลาให้ต้องคำนึงถึงกลุ่มอื่นๆ ของสังคมด้วย ซึ่งมีเด็ก 21 ล้านคน คนพิการ 3 ล้านคน ผู้สูงอายุ 11 ล้านคน

นายจุติ กล่าวว่า ผู้สูงอายุที่แสดงสิทธิ์ 11 ล้านคน รับอยู่ 89,000 ล้านบาท มีคนที่จนจริงเพียง 4 ล้านคน ต้องถามว่าคนที่เป็นรัฐบาลมีงบประมานที่จำกัด จะเอาเงินไปช่วยคนที่จนสุดของประเทศก่อนหรือไม่เท่านั้นเอง ซึ่งหากรัฐบาลใหม่มาบอกว่าพร้อมที่จะให้เงินเดือนละ 3,000 บาท ก็ต้องไปเก็บภาษีมาให้ได้ปีละ 720,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันนี้กระทรวง พม. ทั้งกระทรวงได้รับงบประมาณอยู่ 8,000 ล้านบาท เพราะฉะนั้นคุณต้องไปหางบประมาณมาอีก 9 เท่า

นายจุติ กล่าวว่า ยืนยันไม่ได้วางกรอบหรือเงื่อนไขระยะเวลา ให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเคราะห์หลักเกณฑ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรมว.การคลัง นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เป็นคนเลือกว่าจะให้อย่างไร พร้อมย้ำว่า ตอนนี้ยังจ่ายเงินปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไร 100% รับเหมือนเดิมทุกประการไม่มีใครตกหล่นแม้แต่คนเดียง เพราะมีบทเฉพาะกาลอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถออกหลักเกณฑ์ฯ ได้ในช่วงไหน นายจุติ กล่าวว่า อยู่ที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ จะตัดสินและส่งให้รัฐบาลใหม่

เมื่อถามว่า จะให้ความมั่นใจกับประชาชนอย่างไร เพราะหลายคนกังวลจะถูกตัดเบี้ยผู้สูงอายุ นายจุติ กล่าวว่า “วันนี้ 100% ว่าผู้สูงอายุยังได้รับเบี้ยยังชีพ เหมือนเดิมไม่สะดุด งบประมาณก็จะเอาไว้แล้ว งบปี66 จะจบ เดือนก.ย.นี้ และงบ ปี 67 เพิ่มเป็น 110,000 ล้านบาท เพราะผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองออกมาท้วงติง อย่างนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นว่าเป็นการลักไก่ ช่วงรัฐบาลรักษาการ นายจุติ กล่าวว่า “วาทะกรรมก็พูดได้ แต่ว่าเราอยู่ที่สามัญสำนึก จิตสำนึก และทำให้คนส่วนใหญ่เถอะ ผมไม่ทะเลาะการเมือง อยากฝากทุกคนใครจะทำอะไรก็ได้ ความสะใจ ไม่ได้ให้อะไรใครซักคนเดียว ซึ่งการเลือกตั้งจบไปแล้วตั้ง 2 เดือนให้คนไทยรักกันดีกว่า ขอร้อง“

เมื่อถามว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า ตอนหาเสียงมีนโยบายจะเพิ่ม เงินผู้สูงอายุแต่พอเลือกตั้งเสร็จ จะมาลดเบี้ยลง นายจุติ กล่าวว่า เพราะได้ข้อมูลผิดๆไง ทุกคนที่ได้รับก็ยังคงได้รับเหมือนเดิม








Advertisement

เมื่อถามถึงการกำหนดการปรับหลักเกณฑ์ของผู้มีรายได้น้อยจะวัดอย่างไร นายจุติ กล่าวว่า ต้องไปดูที่รัฐธรรมนูญปี 60 ระบุว่า ผู้ที่ไม่มีรายได้เพียงพอนั่นแหละจะตัดที่เท่าไหร่ จะตัดที่ตัวเลขหรือเส้นแบ่งความยากจน แต่สิ่งที่นักการเมืองทุกคนไม่เคยพูดให้ประชาชนรับทราบ ว่า “ประเทศที่เขาเจริญแล้วที่เราทำตามเขา เขามีการพิสูจน์สิทธิ์ เช่น ออสเตรเลีย เยอรมัน อังกฤษ สหรัฐฯ คือมีการวัดว่าคุณลำบากจริง รายได้ไม่พอจริง ก็ควรจะไปช่วยเหลือ โอเคนะวันนี้เราบอกว่าเราให้ถ้วนหน้าก็โอเคครับ ถ้ามีสตางค์ วันนี้คุณยังเห็นเด็กที่ยังไม่มีเงินได้เรียนหนังสือ กองทุนเสมอภาคเพื่อการศึกษายังอยากมีงบประมาณเพิ่มขึ้น ดังนั้น จะให้กระจายทุกกลุ่ม หรือไม่ หรือจะให้เฉพาะกลุ่ม คนเป็นรัฐบาลก็ต้องมองให้ถ้วน ผมว่าขอให้คิดถึงความเป็นมนุษย์อย่าไปคิดถึงคะแนนเสียง

นายจุติ กล่าวว่า เดิมทีรัฐธรรมนูญเขียนไว้ ว่าไม่ควรรับเงินซ้อนจากรัฐ ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว และอันใหม่ระบุว่าให้คนที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องไปดูว่าตรงนั้นคืออะไร ไม่มีอะไรยาก ทำใจให้สบาย รักทุกคน และด้วยมารยาทตน คงไม่ไปเรียกคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ มาประชุม เพราะเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรี พม. คนใหม่

“ด้วยความเคารพทุกท่าน อยากให้แยกให้ออกว่านโยบายพรรคการเมือง กับนโยบายของรัฐบาล และโครงสร้างของประเทศ โครงสร้างการคลัง ประเทศไทยไม่ได้เผื่อไว้ หรือออกแบบมาเพื่อเป็นรัฐสวัสดิการ ดังนั้นหากจะต้องเปลี่ยนระบบเป็นระบบรัฐสวัสดิการ ต้องมีคนรับผิดชอบเยอะ วันนี้มีผู้ยื่นเสียภาษี 11 ล้านคน เสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน ดังนั้นต้องขยายฐานภาษี และภาษีมูลค่าเพิ่มของต่างประเทศเขาอยู่ที่ 22 % ของไทยเราอยู่ที่ 7% ภาษีภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเขาอยู่ที่ 39 % เราอยู่ที่ 20% 22 ส่วนภาษีท้องที่เขาอยู่ที่12% เราอยู่ที่0.5 กับ 1 % เพราะฉะนั้นเราต้องมาถามว่าคนไทยพร้อมหรือยัง คุยกันทั้งประเทศ นักการเมืองพรรคการเมืองก็ต้องฟัง ทั่วทุกกลุ่ม “ นายจุติ กล่าว

เมื่อถามว่าให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ใช่หรือไม่ นายจุติ พยักหน้าพร้อมระบุว่า ด้วยความรับผิดชอบ

เมื่อถามว่าอยากจะฝากอะไรไปถึงรัฐมนตรี พม.คนใหม่หรือไม่ นายจุติ กล่าวว่า ขอฝากถึงรมต.พม.คนใหม่ ให้คิดถึงทุกกลุ่ม รักทุกคน เฉลี่ยทุก เฉลี่ยสุขดีกว่า

เมื่อถามว่าไม่กลับมากระทรวงเดิมแล้วใช่หรือไม่ นายจุติ กล่าวว่าไม่มีใครทราบ เดี๋ยวก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่แล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน