เศรษฐา บินใต้คุยนายกฯ มาเลย์ ขอบคุณช่วยเจรจาปล่อยตัวประกันคนไทยในอิสราเอล พร้อมหารือเรื่องความร่วมมือทางการค้า-แก้ปัญหาชายแดน
เมื่อเวลา 08.19 น. วันที่ 27 ก.พ. 2566 ที่ท่าอากาศยานสองกองบิน 6 ดอนเมือง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางลงพื้นที่ ชายแดนไทย-มาเลเซียด่านสะเดา จ.สงขลา และมีกำหนดพบปะกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย
นายเศรษฐา กล่าวว่า วันนี้หนึ่งในเรื่องที่จะพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย คือ การขอบคุณที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือตัวประกันให้ได้รับการปล่อยตัว ซึ่งกำลังจะครบกำหนดเงื่อนไข 24 ชั่วโมงที่ขอให้หยุดยิง จึงจะพยายามพูดคุยและขอร้องให้นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวประกันได้รับการปล่อยตัวทั้งหมด
เมื่อถามถึงกรณีการปล่อยตัวประกันคนไทยที่อิสราเอล นายเศรษฐา กล่าวว่า จะมีการดูแลตัวประกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งทุกคนปลอดภัยดี โดยภาพรวมถือว่าดี และจะพยายามดำเนินการต่อไป เพื่อนำพาออกมาให้หมด ซึ่งวันนี้เข้าใจว่านายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และรมว.การต่างประเทศ จะเดินทางไปรับด้วยตัวเอง
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีสัญญาณที่ดีหรือไม่ในการปล่อยตัวประกันที่เหลือ นายกฯ กล่าวว่า เราพยายามทำอยู่ เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ตนจึงไม่อยากพูดไปก่อน ฉะนั้น ขอให้รอดูไป และจนถึงวันนี้ก็มีการปล่อยตัวประกันทุกวัน ตั้งแต่ 10 คน และ 3 ถึง 4 คนตามมา
“ยืนยันว่าจะพยายามทำต่อไปอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ฝ่ายความมั่นคงโดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด และกำชับลงรายละเอียดอย่างมาก ฉะนั้น ขอความกรุณาในการเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งผมไม่อยากพูดเท่าไหร่ เพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวประกัน ซึ่งสำคัญที่สุด” นายเศรษฐา กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันในการพูดคุยกับนายกฯ มาเลเซีย ก็จะมีการพูดคุยถึงความร่วมมือการค้าชายแดน โดยจะติดตามความคืบหน้าเรื่องที่เคยพูดคุยกันไปแล้วเมื่อครั้งพบประกันเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งปัญหาชายแดนภาคใต้ซึ่งทางมาเลเซียเคยมีข้อเสนอมาแล้ว ครั้งนี้ก็จะพูดคุยในรายละเอียด และการตรวจคนเข้าเมือง ส่วนการเปิดด่านถาวรสะเดาได้เมื่อไหร่นั้นขอพูดคุยในละเอียดในวันนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่าในส่วนของคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ซึ่งหมดวาระพร้อมกับรัฐบาลชุดที่แล้ว จะมีการตั้งคณะใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า จะต้องพูดคุยกันกับทางมาเลเซีย ส่วนฝั่งไทยจะใช้ตัวแทนจากฝ่ายทหารหรือพลเรือนมาเป็นพูดคุยนั้น จะต้องให้หน่วยงานไปพูดคุยกันก่อน