ศาลฎีกานักการเมือง ยกฟ้องคดีอาญา ‘ยิ่งลักษณ์’สั่งโยกย้าย ถวิล อดีตเลขาฯ สมช. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ 12 ปีที่แล้ว

เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2566 ที่ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาคดี หมายเลขดำที่ อม.11/2565 ที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกฯ ได้แต่งตั้ง โยกย้าย และให้ นายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

โดยไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ราชการพลเรือน มาตรา 57วรรรคสอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งและเชื่อมโยงกับการโอนย้ายพลตำรวจเอก ว. ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผบ.ตร.ให้ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.แทน และบรรจุแต่งตั้งพลตำรวจเอก พ. ขึ้นดำรงตำแหน่งผบ.ตร. อันเป็นการแทรกแซงและก้าวก่ายการแต่งตั้ง โยกย้ายหรือการให้พ้นจากตำแหน่งข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง ต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ

มาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (2) (3) และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพลตำรวจเอก พ. เครือญาติของจำเลย และเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ ของรัฐ

ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 129/1

ประกอบพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 192 นับโทษจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดี หมายเลขแดงที่ อม.211/2560 และจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม. 2/2565 ของศาลนี้

โดยวันนี้มีตัวเเทนสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นตัวเเทนฝ่ายโจทก์ เเละนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจำเลยเดินทางมาศาล

องค์คณะผู้พิพากษา เสียงข้างมากเห็นว่า แม้มูลกรณีคดีนี้จะเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 1/2559 แล้วก็ตาม








Advertisement

แต่คดีของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว คงพิจารณาวินิจฉัยแต่เพียงว่า ผู้ถูกร้อง (จำเลย) คดีนี้ ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นนายกฯ เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองในเรื่องการบรรจุแต่งตั้งโยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการ ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ

และ มิใช่ข้าราชการการเมือง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266(2) และ (3) อันมีผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเป็นการเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) หรือไม่ เท่านั้น และผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวคงผูกพันศาลนี้ ให้รับฟังได้เพียงว่า ความเป็นรัฐมนตรีของจำเลยได้สิ้นสุดลงแล้ว

ส่วนคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดก็มีประเด็นเพียงว่า คำสั่งสำนักนายกฯ ที่สั่งให้นายถวิลไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ และประกาศสำนักนายกฯ ที่สั่งให้นายถวิลพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น

ไม่มีประเด็นพิจารณาวินิจฉัยถึงความรับผิดทางอาญาของบุคคลใด ปัญหาว่าจำเลยกระทำความผิดอาญาตามฟ้องคดีนี้หรือไม่ จึงเป็นคนละประเด็นกับที่ศาลรัฐธรมนูญและศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัย และยังไม่มีศาลใดวินิจฉัยมาก่อน

จึงอยู่ในอำนาจศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และการที่จะวินิจฉัยเกี่ยวกับความรับผิดทางอาญาของจำเลย นอกจากจะต้องพิจารณาจากการกระทำของจำเลยแล้ว ยังต้องพิจารณาถึงเจตนาและเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือโดยทุจริต อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 129/1ประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาตรา 192 ด้วย

จึงไม่อาจนำเอาข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวมาผูกพันให้ศาลนี้ต้องรับฟังตาม

ส่วนประเด็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นว่า การกระทำความผิดตามฟ้อง นอกจากเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่โดยตรงในการปฏิบัติหน้าที่ต้องมีเจตนาในการปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว เจ้าพนักงานผู้นั้นยังต้องมีเจตนาพิเศษในขณะกระทำความผิดเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือต้องมีเจตนาปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดยพยานหลักฐานจากการไต่สวนได้ความว่า ในทางปฏิบัติที่ผ่านมาได้มีการพิจารณโยกย้ายตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำแตกต่างจากกรณีข้าราชการอื่นทั่วไป ประกอบกับจำเลยมิได้มีสาเหตุขัดแย้งอันใดกับนายถวิลเป็นการส่วนตัว อันจะเป็นมูลเหตุจูงใจให้จำเลยประสงค์ที่จะกลั่นแกล้งนายถวิลแต่อย่างใด

จำเลยคงอ้างเหตุผลว่า รัฐบาลก่อนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยมีนายถวิลเป็นกรรมการและเลขานุการ เกิดเหตุการณ์นำไปสู่ความรุนแรงยิ่งขึ้น จึงต้องการเปลี่ยนตัวบุคคลที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ แสดงว่ากรณีมีเหตุที่จะโอนนายถวิล มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ อยู่ก่อนแล้ว โดยไม่ได้มีข้อคำนึงถึงว่าพลตำรวจเอก ว. จะยินยอมย้ายจากตำแหน่ง ผบ.ตร.มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.หรือไม่

ทั้งพลโท ภ. อดีตเลขาธิการ สมช.เบิกความว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลย่อมต้องการผู้ได้รับความไว้วางใจสูงสุดมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ก็มีความชอบธรรมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยก่อนที่นายถวิลจะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าว มีพลโท ส.ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเข้าสู่สมัยนาย อ. เป็นนายกฯ ก็มีการโอนย้าย พลโท ส. จากตันสังกัดเดิมมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯฝ่ายข้าราชการประจำเช่นเดียวกับกรณีของนายถวิล

การใช้ดุลพินิจของจำเลยในการโยกย้ายนายถวิลจึงเป็นไปตามแนวทางที่เคยปฏิบัติกันมาแต่เดิม ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายถวิล ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยต้องการให้พลตำรวจเอก พ. ญาติของจำเลยขึ้นดำรงตำแหน่งผบ.ตร.นั้น เมื่อทางไต่สวนไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยัน กรณีจำเป็นต้องพิจารณาจากพยานแวดล้อมที่ปรากฏในการไต่สวน ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่อาจบ่งชี้อย่างชัดแจ้งว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายได้มีการคบคิดวางแผนกันล่วงหน้าในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำกับจำเลยมาตั้งแต่แรก

ทั้งหากจำเลยมีเจตนาตระเตรียมการให้รับโอนนายถวิลมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ และรับโอนพลตำรวจเอก ว. มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.แทน เพื่อที่จะให้ตำแหน่งผบ.ตร.ว่างลงแล้ว น่าจะต้องมีการแจ้งหรือทาบทามพลตำรวจเอก ว. ให้ยินยอมที่จะมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมช.เสียก่อน

แต่ขณะที่นาย บ. จัดทำบันทึกขอรับโอนนายถวิล จนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการโอนนายถวิลมาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำนั้น ไม่มีพยานปากใดยืนยันว่าจำเลยสั่งการหรือมอบหมายผู้ใดทาบทามพลตำรวจเอก ว. ให้มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมช. ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า

หลังจากครม.มีมติเห็นชอบให้นายถวิลไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ พลตำรวจเอก ก. ได้โทรศัพท์มาทาบทามพลตำรวจเอก ว. แล้วพลตำรวจเอก ว. จึงตัดสินใจไปดำรงตำแหน่งดังกล่าว อันเป็นการยินยอมภายหลังจากที่โยกย้ายนายถวิลไปแล้วนานถึง 22วัน ยิ่งกว่านั้นขณะที่จำเลยสั่งการให้โอนนายถวิลก็ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยทราบว่าต่อมาภายหลังพลตำรวจเอก ว. จะสมัครใจย้ายหรือไม่ หรือจะย้ายไปดำรงตำแหน่งใดเมื่อใด

ย่อมรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยสั่งการให้รับโอนนายถวิลโดยมีเจตนาเพื่อจะให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่างลง และไม่อาจฟังได้ว่าการสมัครใจย้ายของพลตำรวจเอก ว. เป็นผลโดยตรงจากการโยกย้ายนายถวิลอีกด้วย

ส่วนที่นาย บ. เลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีบันทึกข้อความถึงรองนายกฯ (พลตำรวจเอก ก.) เพื่อขอรับโอนนายถวิลมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ โดยระบุว่ารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาว ก ) ในฐานะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบและยินยอมการรับโอนแล้ว

ทั้งที่นางสาว ก. ยังมิได้ให้ความเห็นชอบ และมีการแก้ไขวันที่ที่ทำเอกสารจากวันที่ 4 ก.ย. 2554 เป็นวันที่ 5 ก.ย.2554 นั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับข้อความในเอกสารฉบับดังกล่าว

ส่วนการขอรับโอน ขอรับความเห็นชอบ และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติอนุมัติตามที่
สำนักเลขาธิการนายกฯ เสนอ รวมทั้งการที่จำเลยได้มีคำสั่งให้นายถวิลไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีใช้เวลาเพียง 4 วัน ก็ได้ความว่าการเสนอแต่งตั้งโยกย้ายเป็นเรื่องที่ต้องเร่งรัดให้ทันต่อการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องปกติและเกิดขึ้นบ่อย จึงไม่ถือเป็นข้อพิรุธ

และที่จำเลยมีส่วนในการดำเนินการโยกย้ายนายถวิลให้พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการ สมช. โดยเป็นผู้อนุมัติให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ ครม.เพื่ออนุมัติในวันที่ 6 ก.ย.2554 ได้ร่วมประชุมครม.และร่วมลงมติอนุมัติให้นายถวิล พ้นจากตำแหน่ง เมื่อได้รับอนุมัติจากครม.แล้ว จำเลยได้ออกคำสั่งให้นายถวิลไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ ภายหลังครม.มีมติอนุมัติแล้ว ก็เป็นกระบวนการและขั้นตอนของกฎหมายในการโอนย้ายข้าราชการระดับสูง

การกระทำของจำเลยในส่วนนี้ย่อมไม่อาจนำมารับฟังว่ าจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ของพลตำรวจเอก พ. จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง เเละให้ถอนหมายจับคดีนี้

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน