นายกฯ ดอดตรวจเยี่ยม ตม.สุวรรณภูมิ จ่อเรียกส่วนเกี่ยวข้องคุยบ่ายนี้ วางแนวแก้ปัญหาทั้งระบบ ให้นักท่องเที่ยวสะดวกสบายตั้งแต่เข้าจนออก เตรียมประสานก.พ.เพิ่มกำลังพลตำรวจ ตม.

เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 5 ก.พ.2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจและติดตามระบบตรวจคนเข้าเมืองที่เกิดปัญหา โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เพราะประมาณต้นเดือนมี.ค. จะประกาศยกระดับสนามบินของประเทศไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นแผนงานใหญ่

การตรวจคนเข้าเมืองของสนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งระบบวิธีการจัดการทั้งหมด รวมทั้งระบบวิธีการจัดการทั้งหมดเป็นเรื่องสำคัญ ตนจึงไม่อยากฟังแค่รายงาน อยากไปดูให้เห็นกับตา แต่ไม่อยากใช้คำว่า “ปัญหา” ขอให้ใช้คำว่า “โอกาส” คือเรามีโอกาสที่จะทำให้ดีขึ้นได้ในหลายมิติ เริ่มจากงานระบบไอที ซึ่งมีผู้ประกอบการหลายเจ้าเข้ามาทำ แต่ไม่ยึดโยงกัน ทั้งระบบแบ็กอัพและความเสถียรของระบบ รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ซึ่งมีจำนวนไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ยังเข้าไปดูพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ใช้พักผ่อนในช่วงเปลี่ยนกะตรวจเวร พบว่าความเป็นอยู่ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงสั่งให้ปรับปรุง ทุกอย่างอยู่ในแผนงานทั้งหมด ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ไปรับข้อมูลด้วยตัวเองเพื่อนำมาปรับปรุง และเขียนลงในแม่แบบจะแถลง ส่วนปัญหาระบบล่ม ก็เป็นส่วนหนึ่งต้องแก้ปัญหาอย่างบูรณาการ

ผู้สื่อข่าวถามว่าระบบล่มเป็นเรื่องของเทคนิคหรือบุคลากร นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของระบบ เพราะในข้อเท็จจริง มีหลายระบบเข้ามาเกี่ยวข้องกัน ระบบแบ็กอัพก็ไม่ค่อยดี เมื่อจำนวนคนเข้ามาเยอะทำให้ระบบหน่วง เช่น เวลาปกติเวลาคนเดินทางเข้ามาสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลา 45 วินาที แต่เมื่อคนเข้ามาเยอะในทุกช่องทาง ทำให้เวลาเพิ่มเป็น 1 นาทีกว่าต่อคน ทำให้เกิดความล่าช้าขึ้นไปอีก ถือเป็นปัญหาใหญ่

บ่ายวันนี้จะประชุมและประชุมต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์นี้ เพื่อเขียนเป็นแม่แบบนำไปสู่การแก้ไขอย่างบูรณาการ ส่วนตัวคิดว่าจะใช้เวลา 12 เดือน ระบบทั้งหมดจะสมบูรณ์และจบได้

เมื่อถามว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดอุปสรรคหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวก็เทียบเท่าก่อนเกิดโควิด ก็ต้องใช้วิธีบริหารจัดการกันไป ซึ่งได้ให้ KPI ไปแล้วว่า นักท่องเที่ยวที่เข้ามา การดำเนินการตามขั้นตอนทั้งหมดตั้งแต่ต่อคิว จนถึงการประทับตราหนังสือเดินทางไม่ควรเกิน 30 นาที

นายกฯ กล่าวว่า สำหรับปัญหาการรับกระเป๋าเดินทาง เบื้องต้นได้รับรายงานว่าดีขึ้น แต่จะทำให้ดีขึ้นอีก ต้องดูระบบงานสายพานที่ส่งผ่านเข้ามา ซึ่งได้สอบถามเจ้าหน้าที่และให้แจ้งข้อมูลเข้ามา

สำหรับปัญหากำลังคนของ ตม. ยอมรับว่ามีไม่เพียงพอ ซึ่งได้พูดคุยกันไปแล้วว่าจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชุม บ่ายนี้จะเชิญผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองมาพูดคุย โดยจะประสานขอไปทางสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งเป็นปัญหาระยะยาว อยากแก้ปัญหาครั้งเดียวให้จบ

เมื่อถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วผลต่อระบบตรวจอัตโนมัติส่งผลต่อผู้โดยสารขาออกด้วย นายกฯ กล่าวว่ามีผลกระทบต่อเนื่องกัน ซึ่งเมื่อเช้านี้ตนก็ได้ไปดูด้วย ยอมรับว่ามีการต่อคิวยาวมาก ตั้งแต่ตรวจลงตราพาสปอร์ต การเอกซเรย์กระเป๋า รวมทั้งการแบ็กอัพออกมาข้างนอก ทำให้เวลาที่เข้าไปเช็คอินมีพื้นที่ไม่เพียงพอ

อย่างที่ผมเคยพูดว่า ขาออกไม่อยากให้ตรวจเช็กเยอะ แต่บังเอิญว่าปัญหาอยู่ 2 อย่างคือ คนที่อยู่เกินเวลาที่ขออนุญาตไว้ กับเรื่องของมีความผิด ที่จะออกนอกประเทศ ตรงนี้ระบบไอที ลิงก์ได้ทั้งหมด ถ้าเป็นระบบออพติคที่สามารถเช็กได้ก็ต้องตรวจให้ได้ และต้องมีความตื่นตัวถือเป็นแผนระยะกลาง ซึ่งได้ให้นโยบายไปแล้ว

ทั้งนี้ จะเรียกประชุมที่ทำเนียบฯ อีกครั้งในเรื่องการลิงก์ระบบเข้าหากัน ถ้าไม่ต้องตรวจที่เคาน์เตอร์ต้องประทับตาแล้วออกไป จะทำให้ระยะเวลาการเดินทางออกนอกประเทศสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จึงอยากให้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางเข้าประเทศไทย มีความสะดวกสบายตั้งแต่ลงเครื่องบิน เดินเข้ามาในงวงที่มีความชัดเจน ไม่ต้องนั่งรถบัสเข้ามาเปียกฝน เข้ามาถึงก็ไม่ต้องคอยนานถึง 30 นาที รับกระเป๋าแล้วออกไปได้เลย ระบบแท็กซี่ที่จะวิ่งเข้ามารับ ก็ต้องมีความถูกต้องมีความเหมาะสม

นายกฯ กล่าวว่า ส่วนขากลับออกไป ก็ไม่อยากให้ใช้เวลาเกิน 2 ชั่วโมง เพราะจากการสอบถามและรับรายงาน ต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง เมื่อเราต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยวก็ให้ดี เรื่องเวลาก็ต้องเห็นใจนักท่องเที่ยวด้วย แทนที่จะได้เอาเวลาไปท่องเที่ยวเพิ่มและมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่ม ก็ต้องเสียเวลามาสนามบิน ก็ถือโอกาสดีที่จะทำการท่องเที่ยวไทยดีขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน