ปตท. ชี้ โอซีเอ ติดฝั่งไทย วอน เลิกแบ่งพื้นที่-หาทางออกทางธุรกิจ ใช้ประโยชน์ 2 ฝ่าย เผย เป้าหมายของพลังงานในประเทศ จะต้องยึด 3 หลักสำคัญ

วันที่ 14 ก.พ.2567 ที่โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ กรุงเทพฯ สถาบันวิทยาการพลังงาน ร่วมมือกับสมาคมวิทยาการพลังงาน (สวพน.) จัดสัมมนา “THAILAND ENERGY EXECUTIVE FORUM”

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กล่าวระหว่างเสวนาเรื่อง “ทิศทางพลังงานไทยปี 2567” ว่า กรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา (overlapping claims areas –OCA) ในมุมของ ปตท. อาจจะมีโมเดลให้ศึกษาได้อย่างพื้นที่ไทย-มาเลเซีย

ปตท. ชี้ โอซีเอ ติดฝั่งไทย วอน เลิกแบ่งพื้นที่-หาทางออกทางธุรกิจ ใช้ประโยชน์ 2 ฝ่าย

ปตท. ชี้ โอซีเอ ติดฝั่งไทย วอน เลิกแบ่งพื้นที่-หาทางออกทางธุรกิจ ใช้ประโยชน์ 2 ฝ่าย

ทั้งนี้ เรื่องการแบ่งดินแดนไม่น่าจะสรุปได้ เพราะเข้าใจว่าการแบ่งพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียวต้องมีปัญหา หากมาหารือกันเรื่องของวัตถุดิบที่อยู่ใต้ดิน น่าจะหารือได้ไม่ยาก เพราะประเทศไทยมีท่อก๊าซและโครงสร้างพื้นฐานใกล้ ๆ พื้นที่ทับซ้อนอยู่แล้ว การจะขุดเจาะและนำขึ้นมาใช้ก็ง่าย ส่งไปกัมพูชาสะดวก

“โมเดลที่จะนำวัตถุดิบขึ้นมาใช้ และพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มนั้น ให้กัมพูชามาลงทุนกับเราได้ เพื่อแบ่งฝั่ง 50% โดยโมเดลทางด้านธุรกิจไม่ยาก แต่ทางด้านการเมืองน่าเห็นใจ พูดตรง ๆ เลยว่ากัมพูชาไม่น่ามีปัญหา ที่มีปัญหาคือไทย มีการพูดเรื่องนี้ตลอด เดี๋ยวก็หาว่าขายชาติบ้าง เราน่าจะต้องลด ๆ ในตรงนี้หน่อยเพื่อให้เกิดข้อสรุปได้ และเราจะได้ไม่มีปัญหา” นายอรรถพล กล่าว

นายอรรถพล กล่าวว่า ปตท. มีภารกิจคือการสร้างความมั่นคงพลังงานของประเทศ ไม่ว่าหน้าตาของพลังงานประเทศจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ปตท. ต้องตามไปทำ ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภูมิรัฐศาสตร์ สภาวะและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และสภาพสิ่งแวดล้อม








Advertisement

ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครนนั้น เพิ่มขึ้นสูงกว่า 80 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 9 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เช่นเดียวกับราคาน้ำมันที่มีสถานการณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความคลี่คลายจากสถานการณ์ต่าง ๆ ส่งผลให้ราคาพลังงานในปี 2567 นั้นจะลดลง โดยราคาน้ำมันจะอยู่ในกรอบ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 103 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 อยู่ที่ 101-102 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงมาอยู่ในกรอบ 7-12 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะเกิดการปะทุความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศขึ้นมาอีก รวมถึงสภาพเศรษฐกิจของโลก สภาพภูมิอากาศในแหล่งผลิต และการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงาน

“ต้องยอมรับว่าพลังงานในทุกรูปแบบของประเทศไทยที่เราใช้อยู่ต้องมีการนำเข้า แต่ในภาคของความมั่นคง โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานยังมีความแข็งแกร่ง ที่ผ่านมาการบริหารจัดการของ ปตท. และนโยบายของภาครัฐสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตมาได้ตลอด ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในประเทศไม่ขาดแคลน” นายอรรถพล กล่าว

นายอรรถพล กล่าวว่า ที่ผ่านมา ปตท. ได้เข้าร่วมประชุมใน เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม หรือการประชุมดาวอส 2024 ซึ่งเป็นการประชุมผู้นำทางเศรษฐกิจ ในที่ประชุมมีการตั้งโหวตความคิดเห็นประเด็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดความกังวลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ผลที่ออกมาในระยะสั้น 2 ปี กลุ่มผู้นำส่วนใหญ่กังวลเรื่องของเทคโนโลยี และการบิดเบือนข้อมูล

โดยตระหนักไปถึงการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้งาน วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เรื่องรองลงมาคือสิ่งแวดล้อม และภูมิรัฐศาสตร์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือผลโหวตระยะยาวช่วง 10 ปีข้างหน้าสิ่งที่กังวลคือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เพราะเรื่องดังกล่าวจะกระทบมาพลังงาน

ประเทศไทยเองภาพรวมการใช้พลังงานอ้างอิงกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว โดยเรื่องแรกที่จะปรับเปลี่ยนคือการลดใช้ถ่านหินลง และในปี 2030 การใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง ขณะที่ก๊าซธรรมชาติจะเป็นเชื้อเพลิงสุดท้ายที่เหลืออยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานทดแทน

นายอรรถพล กล่าวด้วยว่า เป้าหมายของพลังงานในประเทศ จะต้องยึด 3 หลักสำคัญคือ 1.พลังงานต้องมีความมั่นคงเข้าถึงได้ 2.ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาเทคโนโลยีในการดักจับคาร์บอน และ 3.ต้องมีราคาเหมาะสม ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ

โดยในอนาคตเชื้อเพลิงไฮโดนเจนเป็นเรื่องน่าสนใจ หากมีหน่วยงานเข้ามาอุดหนุนเรื่องนี้ให้เกิดเป็นโครงการต้นแบบประเทศไทยจะสามารถก้าวได้ทันกระแส ซึ่ง ปตท. มองว่าไฮโดนเจนกับด้านการคมนาคมหรือยานยนต์นั้นอาจจะพัฒนาได้ยาก

เนื่องจากตอนนี้เสียงยังถูกแบ่งเป็น 2 ฝ่ายจากกลุ่มประเทศญี่ปุ่นที่เห็นด้วยและเร่งพัฒนาใช้ไฮโดนเจน กับกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่ยังมองเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ก่อน เพราะโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาไม่เหมือนกัน

ขณะที่ไฮโดนเจนกับภาคอุตสาหกรรมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเทคนิคทำได้ทั้งหมดแล้วสามารถแปลงสภาพ ขนส่ง และนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมได้แล้ว แต่เรื่องสำคัญคือเรื่องต้นทุน ถ้ามีการสนับสนุนให้ต้นทุนราคาถูกได้ จะสามารถนำไฮโดนเจนเข้ามาแทนที่แบตเตอรี่ได้ ซึ่งเป็นอนาคตที่น่าสนใจ

โดยในกลุ่ม ปตท. เองมี บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เข้าไปร่วมลงทุนกับประเทศโอมาน เพื่อพัฒนากรีนไฮโดนเจน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน