วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย แนะรัฐบาล เร่งปฏิรูประบบราชการ ทั้งแผนงาน แผนเงิน แผนคน หวังแก้วิกฤตประเทศที่สะสมมานาน
เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย และรองประธานกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 โพสต์เฟซบุ๊กว่า
ได้ประมวลข้อมูลการอภิปรายในงบประมาณปี 67 การซักถามของ สว.และ สส.ที่เสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้น พบว่าส่วนหนึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่น่ารับฟัง เพื่อนำไปปฏิบัติ แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นข้อซักถามเหตุผลว่า ทำไมรัฐบาลถึงยังไม่ปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางที่กำหนดไว้
เมื่อดูจากข้อมูลทั้งหมดแล้ว พบว่าปัญหาของรัฐบาลยังคงอยู่ที่ 3 ส่วนคือ ทั้งแผนงาน แผนเงิน และแผนคน ถ้าจะดำเนินการแก้ไขต้องเข้าสู่การปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ของรัฐบาล กล่าวคือ ปัญหาของแผนงาน คือแผนการใช้งบประมาณของรัฐบาลมาจากแผนคำขอของหน่วยงานในระดับจังหวัด ซึ่งต้องมาจากแผนพัฒนาจังหวัดที่เป็นเพียงข้อมูลโครงการความต้องการของพื้นที่ โดยยังไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งมีแนวคิดที่มองปัญหาในภาพกว้างและมีแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งมีบางส่วนที่กำลังจะเกิดการพัฒนาในรูปแบบใหม่มาก ทำให้คณะรัฐมนตรีไม่มีงบประมาณใช้ตามทิศทางและแนวนโยบายในรูปแบบใหม่ที่แถลงต่อสภาฯ ไว้อย่างแท้จริง ดังนั้นนอกจากแผนงานพื้นฐานแผนงานยุทธศาสตร์ที่ทำให้ระบบราชการขับเคลื่อนได้แล้ว สภาพัฒน์และสำนักงบประมาณต้องกำหนดแผนยุทธศาสตร์ตามนโยบายไว้เพิ่มเติมอีกด้วย เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารราชการ
หากปรับกรอบไม่ทัน อาจต้องขยายกรอบงบกลาง ในหมวดนโยบายเอาไว้ เพราะยังไม่เห็นปรากฏแนวทางการปฏิบัติตามนโยบายไว้ในหน่วยงานของรัฐที่ตรงกับนโยบายของรัฐบาลอย่างแท้จริงเลย
และข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ไม่อำนวยให้สภาผู้แทนราษฎรนำเสนอความต้องการของประชาชน เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการได้เลย ซึ่งที่จริงแล้วในยุคสมัยของโซเชียลมีเดียนั้น ประชาชนและฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบการบรรจุการปรับงบประมาณของกรรมาธิการได้อยู่แล้วว่าถูกต้องหรือไม่ จึงไม่จำเป็นต้องจำกัดอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขจุดอ่อนและจุดด้อยของงบประมาณ จนกระทั่งไม่สามารถนำเสนอความต้องการของประชาชนผ่านระบบนิติบัญญัติได้เลย
ปัญหาของแผนเงิน คือระบบงบประมาณ ที่ถูกกำหนดไว้อย่างแข็งตัว ทำให้ทุกหน่วยงาน ต้องปฏิบัติตามกรอบเดิมที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ โดยไม่สามารถนำเสนอการขอใช้งบประมาณตามความต้องการจริงๆ ได้เลย ทำให้ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานเสนอกฎหมายไม่ต้องนำเม็ดเงินจัดเก็บจากรายได้นำส่งเข้ากระทรวงการคลัง เพื่อให้เป็นงบประมาณตามกรอบที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ จึงทำให้มีเงินประเภทใหม่คือ เงินนอกงบประมาณเกิดขึ้น เป็นจำนวนเงินที่มากกว่าเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 3.48 ล้านล้านบาท ถึง 5.9 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 67 แล้ว
ซึ่งในส่วนของแผนงบประมาณนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งปฏิรูปโดยเร่งด่วนอย่างยิ่ง
สำหรับแผนคนนั้นพบว่า มีการเกิดขึ้นของหน่วยงานใหม่จำนวนมาก มีความซ้ำซ้อน และบางหน่วยก็ปฏิบัติงานไม่ได้จริง รวมถึงแนวทางการดำเนินการของการบริหารราชการนั้น ดำเนินการตามรูปแบบเดิมมีความแข็งตัวและอุ้ยอ้าย ทำให้คณะรัฐมนตรีไม่สามารถสั่งงานได้จริง จึงพบข้อขัดแย้งในการบริหารราชการแผ่นดินเกิดขึ้น ในเกือบทุกกระทรวงทบวงกรม
ถ้าดูง่ายๆ จากการสั่งการปราบปรามปัญหายาเสพติด การแก้ไขพีเอ็ม 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่นั้นจะพบว่า การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ปฏิบัติงานในภาวะวิกฤตของประชาชนนั้น รัฐบาลยังต้องรอปฏิบัติตามแนวทางและกรอบการบริหารบุคลากรตามรูปแบบของราชการแบบเดิมๆ ทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าและไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประชาชน
ทำให้เห็นได้ว่าถ้าหากรัฐบาลจะต้องการดำเนินการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศที่สะสมมายังช้านานนั้น รัฐบาลต้องเร่งการปฏิรูประบบราชการทั้งแผนงานแผนเงินและแผนคน ให้เกิดขึ้น โดยเร่งด่วน มิเช่นนั้นปัญหาแบบเดิมก็จะวนกลับมาแบบนี้ทุกปีไม่มีจบสิ้น
ขอขอบคุณข้อเสนอแนะและความเห็นดีๆ จากทุกฝ่ายที่ นำเสนอด้วยความจริงใจ และเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติและแก้ไขเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามนโยบายและทำให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนต่อไป