เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ห้องประชุมสมภพ โหตระกิตย์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชน ด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ระดับกลาง ( บสก.) รุ่น7 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาสาธารณะ “พลังโชเชียลเปลี่ยนการเมืองไทย” มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายอธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์เจ้าของนามปากกา “ใบตองแห้ง” และ นายปราบ เลาหะโรจนพันธ์ ผู้ก่อตั้งโครงการ Rethink Thailand เข้าร่วมสัมมนา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างสัมมนา ได้เกิดการปะทะคารมราว 5 นาทีระหว่างนายอธึกกิตกับนายอภิสิทธิ์ โดยนายอธึกกิตได้กล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ ให้ยอมรับผิดกรณีปิดทำเนียบรัฐบาล ขัดขวางการเลือกตั้ง และปิดสถานที่ราชการ เมื่อครั้งเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มกปปส.ในการต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในช่วงปี 2557 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้โต้แย้งว่า “อย่างน้อยผมก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่หนีไปต่างประเทศครับ”

ต่อมา นายอธึกกิต ได้ยืนยันจุดยืนว่าจะไม่เลิกใช้คำว่าสลิ่ม เลิกไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาหลักการว่าใครเอาประชาธิปไตย ใครไม่เอาประชาธิปไตย ซึ่งทั้งหมดมาจากสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ออกจากความขัดแย้งไม่ได้ โดยยกตัวอย่างฟุตบอลที่แข่งขันกัน ถ้ากรรมการเป็นกลางก็ไม่มีปัญหา

จากนั้น ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่า ทั้งสองข้างก็เหมือนเรียกกรรมการรักษาความสงบออกมา แต่นายอธึกกิต บอกว่า เรียกได้ฝั่งเดียว

ในที่สุดนายอภิสิทธิ์ ก็ชี้แจงว่า “ที่บอกว่ามาปิดสนามเพราะแพ้ ขอให้กลับไปดูได้ การเลือกตั้งปี2550 ปี2554ถามว่า มีปัญหาไหม คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะเลือกตั้ง นับคะแนนเสร็จ ผมยอมรับความพ่ายแพ้ และขอให้เดินตามนโยบายที่ประกาศไว้ แต่อย่าคิดล้างผิดให้กับคนโกง เพราะสัญญากับประชาชน ซึ่งยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ปี54 มีน้ำท่วม เรื่องจำนำข้าว คุณยิ่งลักษณ์ก็อยู่ได้ ปัญหาทั้งคือเรื่องพยายามนิรโทษกรรม ทั้งยังกล่าวหาผมเป็นฆาตกรรม จะดำเนินคดีผม จะประหารชีวิตผม จะมานิรโทษกรรมให้ผม คนที่ออกกฎหมายตรงนั้น จะไม่เอาผิด เพียงแต่จะล้างความผิด นี่แหละปัญหา ตนจึงอยากถามว่ามีคนไปเรียกทหารเข้ามาไหม ก็มี ซึ่งช่วงก่อนรัฐประหาร2557 ผมมีข้อเสนอทางออก แต่รัฐบาลตอนนั้นบอกไม่ต้องยุ่ง เขาเป็นเสียงข้างมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องฝ่ายแพ้ไปปิดสนาม แต่เป็นเรื่องการแสดงออกไม่ยอมรับนิรโทษกรรม ความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้น ถ้าเลือกตั้งจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายมีส่วนผิดทั้งหมด

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนแพ้การเลือกตั้งปี2550 ไม่มีม็อบ มามีทีหลังด้วยเงื่อนไขอื่น ปี54 ตนแพ้การเลือกตั้งก็ไม่มีม็อบ แต่มาเกิดช่วงนิรโทษกรรม ซึ่งมีกรณีเดียวที่พรรคพลังประชาชนแพ้เสียงในสภาที่ให้ผมเป็นนายกฯ แล้วมีม็อบทันที ออกจากสภาเอาน้ำกรด อิฐมาปา เพราะมวลชนไม่รู้สึกเป็นธรรม

“วันนี้ไม่ใช่เรื่องมาบอกว่าเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทุกคนมีส่วนจากกระบวนการที่สั่งสมมา ถ้าไม่อยากให้เกิดอีกต้องถามแต่ละฝ่าย จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ปัญหาก็จะไม่มี และให้มีกลไกองค์กรอิสระแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เราควรต้องมาพูดกันว่าควรจะทำอย่างไร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ขอขอบคุณ : มติชนออนไลน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน