าก 4 คดีใหญ่การเมือง กรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน 3 คดี ทั้ง 4 มาตราของพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ, นัดถกคดียุบพรรค ก้าวไกล 3 ก.ค. และให้คู่กรณีเข้ามาตรวจพยานหลักฐาน 9 ก.ค., นัดถกคดี 40 สว.ยื่นถอด นายเศรษฐา ทวีสิน ายกฯ 10 ก.ค. สุดท้ายศาลอาญาให้ประกันตัว นายทักษิณ ชินวัตร คดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ นัดตรวจพยานหลักฐานคดีทั้งสองฝ่าย 19 ส.ค.นี้ มีสัญญาณต่อสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร

 

นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

ผอ.หลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

ใน 4 คดีนี้ถือเป็นการสร้างความไม่แน่นอนทางการเมืองค่อนข้างมาก สมมติทั้ง 4 คดีออกมาในทางลบจะทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างสูง

แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพ.ร.ป.สว. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ นั่นเป็นการวินิจฉัยไปในทิศทางที่ดี ทำให้บรรยากาศของกระบวนการประชาธิปไตยที่ถูกเขียนไว้ ในรัฐธรรมนูญสามารถเดินไปได้ต่อโดยไม่สะดุด

ส่วนที่ศาลอาญาให้ประกันตัวนายทักษิณ ในคดีมาตรา 112 ถือเป็นเรื่องทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีตระหว่าง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับนายทักษิณ

แต่ตอนนี้นายทักษิณกับกลุ่มอำนาจเก่าได้จับมือกันแล้ว เพียงแต่คดียังคงตกค้างมาและมีการสั่งฟ้องไปแล้วโดยอัยการสูงสุด และเมื่อมาทบทวนในคดี ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จึงต้องมีการฟ้องต่อ

เมื่อนายทักษิณได้รับการประกันตัวทำให้พรรคเพื่อไทยยังคงมีสถานภาพแบบเดิม แต่กลับกันถ้านายทักษิณ ไม่ได้รับการประกันตัวจะทำให้พรรคเพื่อไทยอ่อนแอ ลงจากเดิม

กรณีคุณสมบัติของนายเศรษฐา ในแง่กฎหมายมีความเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ

ในทางลบเป็นไปได้ว่าจะถูกวินิจฉัยว่าถึงแม้จะไม่ได้ลงในรายละเอียด แต่เนื่องจากเป็นผู้ต้องเซ็นและรู้อยู่แล้วว่าการเสนอนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี มีปัญหาเรื่องจริยธรรม ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดจริยธรรมก็เป็นไปได้

แต่เมื่อดูเหตุผลทางการเมืองประกอบคือการที่มีนายวิษณุ เครืองาม เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ หมายความว่ามีพันธสัญญาระหว่างกลุ่มอำนาจเดิมกับรัฐบาล ดังนั้นโอกาสที่คำตัดสินจะเป็นผลบวกต่อนายเศรษฐามีสูงกว่าทางลบ

เมื่อมองว่าถ้าคดีของนายทักษิณรอด คดีของนายเศรษฐาก็รอดด้วยนั้น มีความเป็นไปได้ เพราะอยู่ในกรอบโครงเดียวกัน จึงส่งผลต่อคำตัดสินเช่นเดียวกันได้

ขณะที่เรื่องคดียุบพรรคก้าวไกลนั้น ก่อนหน้าที่พรรคก้าวไกลจะมาแถลงแนวทางการต่อสู้ หลายคนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลถูกยุบแน่ เพราะมองว่าเป็นเรื่องการตั้งธงไว้แล้ว ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อระบบกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อพรรคก้าวไกลออกมาแถลงแนวทางการต่อสู้ โดยเฉพาะข้อที่ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในการยื่นให้ยุบพรรคก้าวไกล ศาลรัฐธรรมนูญได้ ให้กกต.และพรรคก้าวไกลส่งหลักฐานเพิ่มเติม แสดงว่าศาล รับฟังข้อมูลหลักฐานอย่างรอบด้าน ไม่คิดดำเนินการแบบรวบรัด

ถ้าจะให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ศาลควรเปิดให้ไต่สวนอย่างเปิดเผย เพื่อให้พรรคก้าวไกลมีโอกาสต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ เมื่อต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว จะสั่งยุบพรรคก้าวไกล เท่ากับว่าศาลมีเหตุผลมาหักล้างข้อต่อสู้ได้ทั้งหมด

ใน 3 คดีที่ยังต้องต่อสู้กันต่อไป จะเห็นว่าคดีของพรรค ก้าวไกลที่น่าเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้เป็นเรื่องที่มีหลักฐานชัดเจน และหลายแวดวงเชื่อว่าพรรคก้าวไกลเป็นเป้าหมายในการสกัดของกลุ่มอนุรักษนิยมที่ไม่ต้องการให้เติบโตในหนทางการเมือง หรือถ้าทำอะไรกับพรรคไม่ได้แล้ว จะพยายามสร้างความยากลำบากในการดำเนินงานให้กับพรรคก้าวไกล

มีกลุ่มที่คิดแบบนี้ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่แล้ว เพราะกลุ่มดังกล่าวมองว่าพรรคก้าวไกลมีอุดมการณ์ที่นำเสนอต่อสังคมคืออุดมการณ์สังคมประชาธิปไตยที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเสรีนิยม อาจจะเป็นการคุกคาม ต่อความมั่นคงของกลุ่มอนุรักษนิยม

กลุ่มอนุรักษนิยมจึงพยายามใช้กลไกต่างๆ สกัดพรรคก้าวไกล ซึ่งกำลังจะได้รับความยอมรับจากประชาชนเพิ่มขึ้นตามลำดับ

 

นายวันวิชิต บุญโปร่ง

คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต

ตอนนี้เรื่องการเลือกสว. มีความชัดเจนแล้ว ไม่ติดขัดแต่ประการใด ต้องเดินหน้าอย่างไร้รอยต่อ และจะได้สว.ตามไทม์ไลน์ในเดือนก.ค.67 แน่นอน

ส่วนประเด็นนายทักษิณ หลายคนคาดการณ์ไว้ตรงว่าจะได้ประกันตัว และการเดินทางของคดีนี้คงใช้เวลาพอสมควร คาดว่าน่าจะกินเวลาหลายปี และไม่น่าจะมีผลอะไรต่อฉากทัศน์

ที่เหลืออีก 2 ประเด็น มองเป็นประเด็นที่คลาสสิคมาก คือประเด็นของนายกฯ ที่ศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนพิจารณาออกไปถึงวันที่ 10 ก.ค.67 ทำให้สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร หมายความว่าภาวะกระอักกระอ่วนที่ประชาชนมองเรื่องการเมืองที่มีความไม่ชัดเจน มีผลต่อนักลงทุนต่างประเทศ และสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ

นำไปสู่การตั้งคำถามว่า ยิ่งเลื่อนการตัดสินออกไป จะทำให้กระแสเสียง ความนิยม ที่สนับสนุนนายกฯ ลดลงไปมากน้อยขนาดไหน

นั่นหมายความว่าคดีของผู้นำประเทศไม่น่าจะทอดยาว ออกไปเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลใจที่สุด เพราะถ้านายกฯ ที่ชื่อเศรษฐา ไม่ได้ไปต่อ ฉากทัศน์ที่ 2 จะกลับไปยังทฤษฎี 3 ล้ม แม้ว่าสว.ผ่านไปแล้ว แต่ 2 ล้มที่เหลือ ยังไม่เคลียร์ให้ชัดเจน

ล้มที่ 2 คือการล้มพรรคก้าวไกล มองว่าการพิจารณาคดีนี้น่าจะทอดยาวออกไปนานกว่าคดีของนายกฯ แต่สัมพันธ์กับในล้มที่ 1

หากพรรคก้าวไกลล้มจริง หลายคนคาดการณ์ว่าจะมีสส.บางส่วน ที่อาจจะเดินตามรอยสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไปอยู่ขั้วตรงข้าม และมีบางส่วนวิเคราะห์ว่าสส.พรรคก้าวไกล อาจจะเลื้อยเข้าป่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจะมีผลต่อความเปลี่ยนแปลง และอำนาจต่อรองว่าผู้นำรัฐบาลคนใหม่ อาจจะไม่ใช่มาจากพรรคเพื่อไทย

นี่คือฉากทัศน์ที่สัมพันธ์กัน แต่ทฤษฎี 3 ล้ม อาจจะล้มเหลวไปเลยก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม ในจำนวน 3 คดี คือ ยุบพรรคก้าวไกล คดีนายเศรษฐา และนายทักษิณ มองว่าคดีนายทักษิณ คงจะใช้เวลาอีกนานพอสมควร ซึ่งมองไปแล้วมีประเด็นในการต่อสู้ได้ สิ่งที่นายทักษิณทำ ได้เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ซึ่งอยู่ในดุลพินิจของกระบวนการยุติธรรม เป็นเรื่องที่ใหม่ในการทำคดี เพราะคนที่ละเมิดมาตรา 112อยู่ต่างแดน

คดีที่น่ากังวลที่สุดคือคดีของนายเศรษฐา ที่ทำภาพบรรยากาศต่างๆ ชะงักงัน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ภาวะเศรษฐกิจ ยิ่งทอดเวลาออกไปนานเท่าไร เป็นสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น

ส่วนกรณีพรรคก้าวไกล หากพรรคถูกยุบ จุดสมดุลทางการเมืองจะสูญเสียไป เพราะขณะนี้พรรคก้าวไกลเข้ามาเป็น 1 ใน 3 เสาหลักการเมืองไทย เสาที่ 1 พรรครัฐบาล เสาที่ 2 พรรคฝ่ายค้าน และเสาที่ 3 ขั้วเก่าอนุรักษนิยม นี่เป็นการสร้างสมดุลทางการเมืองให้เกิดการถ่วงดุลกันมากขึ้น

หากไม่มีพรรคก้าวไกล จะเผชิญหน้ากับความขัดแย้งเหมือนสองทศวรรษที่ผ่านมาไม่แปรเปลี่ยน

 

นายณัฐกร วิทิตานนท์

อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่

กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพ.ร.ป.สว.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ นอกจากการเลือกสว.จะเดินหน้าได้ตาม ไทม์ไลน์แล้ว สิ่งที่ชัดที่สุดหลังจากมีคำวินิจฉัย คืออีก วันถัดมาสว.ชุดเดิมที่หมดวาระไปตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.67 มีการนัดถ่ายภาพหมู่ร่วมกันเพื่อเป็นการส่งท้ายเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่อาคารรัฐสภา

รวมถึงการที่วุฒิสภาผ่านร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมซึ่งเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดแล้วว่า สว.ชุดนี้จะไม่ได้อยู่ทำหน้าที่ต่อ

กระบวนการเลือกสว.จะเดินไปจนสุดตามไทม์ไลน์ ไม่สะดุด แต่อาจจะล่าช้าในส่วนของคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้ขณะนี้กระแสกดดันจะไปอยู่ที่กกต.ว่าจะรับรองผลการเลือกตั้งได้เร็วเหมือนการเลือกตั้งสส.หรือการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือไม่ เพราะกลัวว่าจะมีกระบวนการที่จะล้มกระบวนการทั้งหมด ทั้งที่แม้ว่าจะมี จุดบกพร่องก็จริง แต่เป็นเพียงจุดเล็กน้อย ดังนั้น กกต. จึงไม่ควรให้เสียในกระบวนการทั้งหมด

ที่ผ่านมากกต.ทำได้ดีในกระบวนการเลือกตั้งสส. คือการรับรองไปก่อน เพราะมีเรื่องร้องเรียนต่างๆ ส่งเข้ามาจำนวนมาก ดังนั้น กรณีของสว. หลังเลือกระดับประเทศแล้วกกต.จึงควรต้องรีบประกาศรับรองไปก่อน ซึ่งไม่น่าจะเกิดความเสียหายหากรับรองแล้วสุดท้ายถูกตัดสิทธิ์ เพราะยังมีบัญชีสำรอง

สัญญาณที่เห็นได้จากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คือทำให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นเชิงบวกต่อบ้านเมือง ว่าจะไม่มีกระบวนการล้มการเลือกสว. ทุกอย่างสามารถ เดินหน้าไปตามกระบวนการปกติได้

นอกจากนี้ ความคาดหวังของสังคมที่อยากเห็นสว. ชุดใหม่เข้ามาคลายล็อกที่ติดมาตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขหลายครั้ง แต่ไปติดอยู่ที่สว. ทำให้ไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะติดเงื่อนไขที่ว่าต้องมีเสียงสว. 1 ใน 3

ส่วนกรณีศาลอาญาให้ประกันตัวนายทักษิณ นั้น ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพียงแต่กรณีของนายทักษิณ หลายคนอาจตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกระบวนการจึงรวดเร็ว หากเป็นกรณีอื่นอาจต้องรอเวลา แต่ถือว่าโดยหลักการ เป็นสิทธิพื้นฐานของกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้วที่ต้องได้รับสิทธิในการปล่อยตัวชั่วคราว แต่ไม่แน่ใจว่าความสำคัญของนายทักษิณจะยึดโยงไปถึงผลกระทบทางการเมืองหรือเศรษฐกิจอะไรขนาดนั้นหรือไม่

แต่อาจจะมีผลกระทบทางการเมืองอยู่บ้าง เพราะนายทักษิณมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ พรรครัฐบาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน