บิ๊กป้อม สั่งลูกพรรคพลังประชารัฐ กดดันยกเลิก เอ็มโอยู 44 เหตุเป็นหนังสือสัญญา ที่ไม่ได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย ชี้หากเดินหน้าส่อผิดรธน.

เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2567 นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้นโยบายกำชับกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค และสส.พรรคทุกคน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินนโยบายยกเลิกเอ็มโอยู 44 ให้ได้ เพื่อปกป้องเขตอธิปไตยของไทยทางทะเลอ่าวไทยพื้นที่ 26,000 ตารางกิโลเมตร (16 ล้านไร่) และผลประโยชน์ทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ มูลค่า 20 ล้านล้านบาทของไทยในทะเลอ่าวไทยที่เป็นของไทยทั้งหมดตามกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ

ถึงแม้พล.อ.ประวิตร จะเคยเป็นประธานคณะเจรจาฯ ตามกรอบเอ็มโอยู 44 แต่ขณะนั้นไม่ทราบมาก่อนว่าเอ็มโอยู 44 จะมีปัญหาทางกฎหมาย จนกระทั่งในเดือนมิ.ย.2567 ตนได้เรียนให้ทราบว่าใช้สิทธิ์ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะพบว่าเอ็มโอยู 44 มีปัญหาสำคัญทางกฎหมายอย่างน้อย 2 ประการ คือ

1.การที่ฝ่ายกัมพูชาลากเส้นไหล่ทวีปของประเทศกัมพูชา เริ่มจากหลักหมุดที่ 73 จุดแบ่งดินแดนทางบกของไทย-กัมพูชา ลากเส้นไหล่ทวีปตัดตรงมาทางทิศตะวันตกผ่านกลางเกาะกูด ที่เป็นดินแดนของไทย ตัดเส้นตรงเลยเกาะกูดไปทางอ่าวไทยตอนใน

การกระทำของฝ่ายกัมพูชา เป็นการลากเส้นไหล่ทวีปที่ผิดกฎหมายทะเลระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ลากต่อลงมาทางทิศใต้ เป็นเส้นไหล่ทวีปที่ผิดกฎหมายทะเลระหว่างประเทศไปด้วย กินพื้นที่อธิปไตยทางทะเลของไทยไป 26,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 16 ล้านไร่

แต่เอ็มโอยู 44 ไปรับรองเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาดังกล่าว เป็นเส้นถูกต้องที่นำใช้มาอ้างสิทธิกับไทยว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน เพื่อเจรจาแบ่งทรัพยากรทางทะเลของไทยให้กัมพูชาฝ่ายละ 50 เปอร์เซ็นต์ ตามที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แสดงวิสัยทัศน์ ในงานดินเนอร์ทอล์ค เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2567

ดังนั้น หากรัฐบาลไปดำเนินเจรจาตามเอ็มโอยู 44 แบ่งผลประโยชน์พลังงานธรรมชาติทางทะเลให้ฝ่ายกัมพูชา 50 เปอร์เซ็นต์ตามที่นายทักษิณ ชี้แนะรัฐบาลไว้ อาจเข้าข่ายกระทำผิดทั้งกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศ เพราะเป็นการฝ่าฝืนพระบรมราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทย

2.พบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าเอ็มโอยู 44 มีสถานะเป็นหนังสือสัญญา มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตอำนาจแห่งรัฐ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ตามบรรทัดฐานคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 11/2542 คำวินิจฉัยที่ 33/2543 และคำวินิจฉัยที่ 6-7/2551

เมื่อเอ็มโอยู 44 มีสถานะเป็นหนังสือสัญญาจึงต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ปี 2540 มาตรา 224, ปี 2550 มาตรา 190 และปี 2560 มาตรา 178 แต่ปรากฏว่าเอ็มโอยู 44 ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบันไม่มีการเสนอให้รัฐสภาเห็นชอบ

เอ็มโอยู 44 จึงเป็นหนังสือสัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภาไทย มีผลให้เอ็มโอยู เป็นบทบัญญัติใดหรือการกระทำใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ ตามรัฐธรรมนูญไทย 2560 มาตรา 5 และมีผลให้เอ็มโอยู 44 ตกเป็นโมฆะทั้งฉบับ ตั้งแต่เริ่มแรกและมีผลในทางกฎหมายไม่ผูกพันรัฐภาคีทั้งสอง ตามหลักการเรื่องความไม่สมบูรณ์แห่งสนธิสัญญา ซึ่งบัญญัติไว้ในอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1969

“ดังนั้น เมื่อเอ็มโอยู 44 มีสถานะเป็นหนังสือสัญญาที่ทำขึ้นโดยขัดรัฐธรรมนูญ ตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ การที่รัฐบาลปัจจุบันหากนำเอ็มโอยู 44 ไปดำเนินการแบ่งทรัพยากรพลังงานธรรมชาติทางทะเลให้กับกัมพูชาต่อไป ทั้งที่รู้หรือควรรู้ว่าอาจจะขัดรัฐธรรมนูญ มีข้อควรระวังว่า อาจถูกฟ้องไปว่าเข้าข่ายกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ” นายไพบูลย์ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน