อนุทิน ปัด ‘เพื่อไทย-ภูมิใจไทย’ ขัดแย้งเรื่องเขากระโดง ถามกลับ พท.เอาคืนแล้วได้ประโยชน์อะไร ชี้รัฐบาลล้มเพราะล้มกันเอง ปลุกคนในรบ.ต้องสามัคคีทำลายสถิติ
เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2567 ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เริ่มลงพื้นที่ว่า ตนคิดว่าคนไทยทุกคน ถ้าคิดจะทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ทำแล้วประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ทุกคนช่วยกันทำประเทศไทยจะดีขึ้น
เมื่อถามถึงนายทักษิณ ระบุว่าตอนนี้พรรคร่วมรัฐบาลสามัคคีกันดีอยู่ นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ภาพรวมเป้าหมายต้องเหมือนกัน ซึ่งเป้าหมายหลักคือประชาชนและประเทศชาติ ตรงนี้เหมือนกันแน่นอน ส่วนการดำเนินการก็เป็นไปตามภารกิจของแต่ละกระทรวง ซึ่งร่วมกันขับเคลื่อนอย่างดี
อย่างนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม จะเดินทางไปต่างประเทศ และในสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องสำคัญเข้า ครม. ท่านโทรศัพท์มาบอกตน รบกวนฝากให้พิจารณาและผ่านความเห็นชอบ ในฐานะรักษาการแทนนายสุริยะ พอตนอ่านดูแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ ตนก็เซ็นให้ ไม่เคยคิดอะไรที่เป็นเรื่องการเมือง อันนี้ทำไปแล้วพรรคตนจะเสียคะแนน พรรคท่านจะได้คะแนน ตนไม่เคยคิด ย้ำว่าเป็นรัฐบาลก็คือรัฐบาล หากทำดีอานิสงส์ก็ปกแผ่ไปหมด
ส่วนที่นายทักษิณ ระบุเช่นนี้เป็นการสยบข่าวความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยกรณีเขากระโดงหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่เคยมีความขัดแย้ง ตนถึงได้พูดว่าเปลี่ยนชื่อเป็นบ่างกันหรือยัง เพราะเรื่องความขัดแย้งเป็นการคาดคะเนของคนที่ไม่อยู่ในวง มันมีตรงไหนที่แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้ง
หากบอกว่ามีประเด็นความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย อาทิตย์ที่แล้วตนยังได้ตามนายกฯ ไปประชุมที่คุณหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ท่านให้เกียรติตนตลอดเวลา แล้วจะมีความขัดแย้งตรงไหน ทั้งนี้ ตนไม่เข้าใจที่มีคนกล่าวว่าเพื่อไทยเอาคืนภูมิใจไทยเรื่องเขากระโดง ตนขอถามว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาคืนภูมิใจไทยเรื่องอะไร เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
เรื่องเขากระโดงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่งศาล ปฏิบัติตามกฏหมาย และระเบียบของกรมที่ดิน และไม่ต้องกังวลเรื่องของตนเองเลย แม้แต่ตารางมิลเดียว ที่เขากระโดงไม่เกี่ยวข้อง ไม่มีเหตุอะไร ที่ตนต้องไปปกป้องผลประโยชน์ของใคร อยู่กระทรวงมหาดไทย กว่าจะมาได้แทบตาย เสร็จแล้วจะไปปกป้องผลประโยชน์ให้คนมาด่า สาดเสียเทเสีย ต่อให้พ้นตำแหน่งไปก็ยังโดนตราบาปไปตลอดชีวิต จดเอาไว้เลยว่าไม่มีกับคนชื่ออนุทิน ตนไปไหนต้องทำให้คนจำถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ได้ทำเอาไว้
เมื่อถามถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา แนะนำให้กรมที่ดินและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) พูดคุยกันเพื่อเจรจาหาข้อยุติในเรื่องนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า มีการพูดคุยกันตลอดเวลา และตั้งคณะกรรมการร่วมกัน ส่วนที่บอกว่าคณะกรรมการตามมาตรา 61 ไม่มีการรถไฟฯ เพราะต่างคนต่างเป็นคู่กรณี แต่เขามีกรรมการแยกต่างหากแล้วค่อยไปตั้งกรรมการร่วมกัน ฉะนั้น อย่านำเรื่องนี้มาโยงกับรมว.มหาดไทย เพราะเรื่องพวกนี้จบในกรม
รมว.มหาดไทยได้มอบนโยบายและสั่งการกรมที่ดินให้ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบทุกอย่าง ไม่มีการเอื้อหรืออำนวยความสะดวกให้กับใคร ส่วนจะจบอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น ไม่ต้องมารายงานรัฐมนตรี เพราะหากไม่เป็นไปตามกฎหมายก็ต้องมีคนร้องคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือหากการรถไฟฯ ยังไม่พอใจก็ไปฟ้องศาล ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนอยู่แล้ว
นายอนุทิน กล่าวว่า หลายเรื่องที่มีการเสนอข่าวออกไปผิดหมดเลย เช่น การลาออกของอดีตอธิบดีกรมที่ดิน ที่อ้างว่าถูกแรงกดดัน จึงลาออกเพราะไม่อยากเข้าคุก ซึ่งไม่จริง เนื่องจากต้องการไปดูแลภรรยาที่ป่วย และเมื่อเขามีความจำเป็น ก็ต้องเคารพการตัดสินใจ
การเสนอข่าวต้องแม่นยำข้อมูลให้มากกว่านี้ และแหล่งข่าวไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะตนให้รายวันอยู่แล้ว เจอผู้สื่อข่าวก็วิ่งเข้าหาทุกที ไม่เคยให้ต้องมาตาม เราต้องมาคุยกันแบบนี้ อย่าไปฟังตรงโน้นทีตรงนี้ทีและเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งคุณไม่ได้เดือดร้อน ตนไม่ได้เดือดร้อน แต่คนเดือดร้อนคือประชาชน
ส่วนที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่จ.อุดรธานี จะไปหาข้อมูลเพื่อเตรียมล้มรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลหากดูสถิติจะล้ม ล้มกันเองในรัฐบาล ไม่เคยล้มข้างนอก ฉะนั้นคนในรัฐบาลต้องทำลายสถิติ ต้องรักต้องสามัคคีทำงานเพื่อชาติและประชาชน มันก็จะไม่มีอะไรล้มได้
เมื่อถามย้ำว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ก็เป็นเป้าหมาย เราอยากทำงานให้สืบทอดนโยบายต่างๆ ให้สำเร็จ อยู่ได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่เป้าหมายคือต้องอยู่ทำงานให้เป็นรูปธรรมและสำเร็จ ขอว่าอย่ายุ เพราะมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว มันเป็นเรื่องของการทำงานอย่างไรก็ไม่มีปัญหา หลักคือต้องทำตามกฎหมาย เพื่อประชาชนกับประเทศชาติ ไม่ผิดระเบียบจารีต วัฒนธรรม ประเพณี ซึ่งทุกคนก็ยึดถืออยู่แล้ว