กมธ.พัฒนาการเมืองฯ รุดหารือ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ขอความชัดเจน ต้องทำ ประชามติ กี่ครั้ง “พริษฐ์” ย้ำ ทำ 2 ครั้ง มีรธน.ใหม่ทันเลือกตั้งครั้งหน้า
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 21 พ.ย. 2567 ที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมหารือกับประธานศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยนายพริษฐ์ กล่าวว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นวาระที่รัฐบาลได้สัญญาไว้กับประชาชน และเป็นวาระที่แกนนำพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนเห็นชอบด้วย ซึ่งเรายึดตามแผนที่รัฐบาลได้เสนอไว้ คือ ใช้กระบวนการการทำประชามติ 3 ครั้ง โดยยังไม่ทำประชามติรอบแรกจนกว่าจะมีการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การทำประชามติเสร็จ
ทั้งนี้ เราเห็นว่าโอกาสที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการเลือกตั้งแทบจะไม่มีเลย เพราะปัจจุบันการแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ ยังไม่ได้ข้อสรุป อีกทั้งเมื่อวานนี้ (20 พ.ย.) คณะกมธ.ร่วม 2 สภา ได้ลงมติเห็นชอบตามร่างของวุฒิสภาที่ใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น หากส่งมาที่สภาผู้แทนราษฎร แล้วเรายืนยันหลักการเดิม จะทำให้กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลา 6 เดือน
ดังนั้น ในมุมมองของตน การจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้บังคับใช้ทันการเลือกตั้งครั้งต่อไป หนทางเดียว คือ ลดการทำประชามติจาก 3 ครั้งให้เหลือ 2 ครั้ง
ที่ผ่านมามีข้อถกเถียงว่า ประชามติควรทำกี่ครั้ง ต้นต่อมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 2/2564 ไม่เหมือนกัน ในขณะที่พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า การทำประชามติต้องทำเพียง 2 ครั้ง แต่จะมีบางฝ่ายที่ไปตีความว่าต้องทำ 3 ครั้ง
ดังนั้น วันนี้เราจึงมาหารือ เพื่อหวังว่าทั้งศาลรัฐธรรมนูญจะขยายความเรื่องนี้ให้ชัดเจนว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวระบุว่าจะต้องทำประชามติกี่ครั้ง หวังว่าวันนี้จะได้รับความชัดเจนกลับมาว่า การทำประชามติต้องทำเพียง 2 ครั้ง โดยมีเหตุผลที่ว่า 1.ในคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้เขียนว่าจะต้องทำประชามติ 3 ครั้ง เขียนเพียงว่าจะต้องทำประชามติ 1 ครั้งก่อน และ 1 ครั้งหลัง และที่ผ่านมามีการถกเถียงกันว่า คำว่า “ทำก่อน” คือก่อนอะไร
2.ถ้าไปดูคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการทั้ง 9 คน จะเห็นว่าตุลาการเสียงข้างมากที่เขียนไว้ว่า สามารถตีความได้ว่าจำเป็นต้องทำเพียง 2 ครั้ง และ 3.ถ้าเราไปดูอินโฟกราฟิกของศาลรัฐธรรมนูญที่ได้ทำไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเห็นว่าขั้นตอนที่เขียนไว้มีการทำประชามติเพียง 2 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเราได้ความชัดเจนในวันนี้ เราก็มีกำหนดเข้าพบอีก 2 ฝ่าย คือ วันที่ 27 พ.ย.นี้ จะเข้าพบประธานรัฐสภา เพื่อชี้แจงว่าการทำประชามติเพียง 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว จะทำให้ประธานสภาฯ มีความสบายใจมากขึ้น และทบทวนการออกแบบก่อนหน้านี้ และบรรจุร่างแก้ไขเกี่ยวกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่อดีตพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเคยยื่นไว้ก่อนหน้านี้
จากนั้น เราจะเข้าพบนายกฯ แต่ยังไม่มีกำหนดวันเข้าพบ โดยการเข้าพบครั้งนี้ก็เพื่อหารือกับทางรัฐบาล เพื่อให้มีความเห็นตรงกัน และทำให้โอกาสในแผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภามากขึ้น
เมื่อถามว่าถ้าศาลยืนยันว่าการทำประชามติ 2 ครั้งแน่นอน การดำเนินการจะสามารถทันรัฐสภาได้มากน้อยแค่ไหน นายพริษฐ์ กล่าวว่า ถ้าเราได้รับความชัดเจนว่า สิ่งที่พรรคประชาชนตีความว่า ทำประชามติ 2 ครั้ง จะทำให้ประธานสภาฯ ทบทวนจากเดิมที่ไม่บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องสสร. อาจจะทบทวนให้บรรจุร่าง
จากนั้นก็จะเข้าสู่การพิจารณา เมื่อผ่านก็จะมีการทำประชามติรอบแรกว่า จะมีสสร.หรือไม่ และถ้าประชาชนเห็นชอบก็จะนำไปสู่การเลือกตั้งสสร. และมีการยกร่างฉบับใหม่ ดังนั้น คิดว่าถ้าเราได้รับความชัดเจนในวันนี้ก็จะมีความหวังมากขึ้นว่า จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใช้ทำการเลือกตั้งครั้งหน้า
เมื่อถามว่าการมาหารือในวันนี้จะเป็นการกดดันกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะประชุมว่าจะไม่รับหรือไม่รับคำร้อง กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ล้มล้างการปกครองในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ย.) หรือไม่ นายพริษฐ์ กล่าวว่า วาระการหารือครั้งนี้ถูกกำหนดไว้มาก่อนแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว
ถ้าพูดในนามของพรรคประชาชนต้องแยกเป็น 2 ส่วน ในมุมหนึ่งมีแน่นอนถึงการกระทำบางอย่างที่เราในฐานะพรรคฝ่ายค้านตรวจสอบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับนายทักษิณ MOU 44 เกาะกูด แต่ในมุมมองของพรรคประชาชน มองว่าการกระทำดังกล่าวไม่ควรจะนำไปสู่การยุบพรรค
พรรคประชาชนพูดมาตลอดว่า ไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคในลักษณะนี้ อยากเชิญชวนทุกพรรคการเมืองมาร่วมกันแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ทำให้การยุบพรรคไม่ได้เกิดขึ้น เราในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน มองว่าบุคคลในรัฐบาลสมควรถูกตรวจสอบ แต่เราไม่เห็นด้วยกับวิธีการยื่นยุบพรรค