เช็กด่วน ครม.จัดชุดใหญ่ เผยรายละเอียด อุ้มลูกหนี้ บ้าน-รถ-สินเชื่อ พักดอกเบี้ย 3 ปี พร้อมช่วยผู้ประกอบการ SMEs มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นแน่
เมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 11 ธ.ค.67 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี )
โดยเป็นมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ในกลุ่มสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อให้แก้ไขปัญหาหนี้สินได้ โดยเฉพาะหนี้สินครัวเรือนให้เกิดเป็นรูปธรรมและยั่งยืนขึ้น โดยเรื่องนี้จะแถลงในวันที่ 12 ธ.ค.
มาตรการเบื้องต้น เช่น การลดการชำระหนี้และดอกเบี้ยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ เน้นการตัดเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข เพื่อให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สินบ้าน รถยนต์ สถานประกอบการของตนเองไว้ได้ และการให้โอกาสลูกหนี้เอ็นพีแอลที่มียอดหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท ให้รับการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้สามารถปิดบัญชีหนี้ได้ และสะสางเครดิต ปรับปรุงประวัติการชำระหนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อไปในอนาคต
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นอกจากนั้นสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกหนี้ที่มีประวัติชำระหนี้ดี เพื่อให้มีกำลังใจ รักษาวินัยการเงินต่อไป และลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เรื้อรัง จะมีมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้ของกลุ่มนอนแบงก์ โดยลดภาระผ่อนชำระค่างวดเหลือร้อยละ 70 และลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 จากอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 25 ต่อปี เหลือร้อยละ 15 ต่อปี รายละเอียดกระทรวงการคลังจะนำเสนอต่อไป
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุม ครม.พิจารณาเรื่องที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อให้การช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง รายงานในที่ประชุม ครม.ว่า
จากการสรุปผลประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยกระทรวงคลังหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่นของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และแนวทางการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
โดยกระทรวงการคลังคลัง เสนอ ครม.ดังนี้
1.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs ประกอบด้วย มาตรการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดภาระดอกเบี้ยโดยการเน้นตัดต้นเงินลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ 3 ประเภท (สัญญาสินเชื่อที่ทำขึ้นก่อนวันที่ 1 ม.ค.2567) ประเภทสินเชื่อ
- วงเงินรวมต่อสถาบันการเงิน เช่น สินเชื่อบ้าน/สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน ไม่เกิน 5 ล้านบาท
- สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และ/หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์
- สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และ/หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 800,000 บาท ไม่เกิน 500,000 บาท
- สินเชื่อธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลไม่เกิน 5 ล้านบาท
ส่วนรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น
- ลดภาระการผ่อนชำะค่างวด ระยะเวลา 3 ปี
- โดยในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3 ชำระค่างวดร้อยละ 50 , 70 และ 90 ตามลำดับตามค่างวดที่ชำระจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด เพื่อให้ลูกหนี้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้น และดอกเบี้ยจะพักการชำระไว้ในช่วงระยะเวลามาตรการ
สำหรับมาตรการลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็น NPLs ที่มียอดหนี้ไม่สูง เช่นลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ เป็นลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็น NPLs และมีภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท (ครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภทที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา)
นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น การปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลดภาระให้ลูกหนี้จ่ายชำระร้อยละ 10 ภาครัฐรับภาระร้อยละ 45 และสถาบันการเงินรับภาระร้อยละ 45 ของภาระหนี้คงค้าง
ทั้งนี้ แหล่งเงินของทั้ง 2 มาตรการมาจากเงินนำส่งเข้า FIDF ของธนาคารพาณิชย์ (ที่ได้รับการละเว้นจากการปรับลดอัตรานำส่งเงินฯ) จำนวน 39,000 ล้านบาท, เงินงบฯตาม ม.28 เพื่อชดเชยให้ SFIs 6 แห่ง จำนวน 38,920 ล้านบาท, มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของ Non-banks โดยขยายการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมไปยังลูกหนี้ของ Non-banks เนื่องจากกลุ่มนี้มีความเปราะบางและมีหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูง สำหรับคุณสมบัติลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ 5 ประเภท (สัญญาสินเชื่อทำขึ้นก่อน 1 ม.ค.67) ในประเภทสินเชื่อวงเงินรวมไม่เกิน
- 1.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ 800,000 บาท
- 2.สินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ 50,000 บาท
- 3.สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กการกำกับ 100,000 บาท หรือ 200,000 บาท
- 4.สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล 20,000 บาท
- 5.สินเชื่อรายย่อยเพื่อกำรประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (Nano Finance)
ส่วนรูปแบบการช่วยเหลือ เช่น ลดภาระการผ่อนชำระค่างวดเป็นร้อยละ 70 ของค่างวดก่อนเข้าร่วมมาตรการระยะเวลา 3 ปี ลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 จากอัตราดอกเบี้ยก่อนเข้าร่วมมาตรการตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยแหล่งเงิน ธนาคารออมสิน ให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ Non-banks อัตราร้อยละ 0.01 ต่อปีวงเงิน 50,000 ลบ. ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยรัฐบาลชดเชยต้นทุนเงินในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี งบฯ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
นายจิรายุ กล่าวว่า 2.มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติมของ SFIs มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่นๆ เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอย ซึ่งจะไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มลูกหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการ SMEs และครอบคลุมลูกหนี้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการรักษาวินัยทางการเงินของลูกหนี้
โดยรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น ลูกหนี้ปกติ ครอบคลุมลูกหนี้รายย่อย ผู้ประกอบการรายย่อย/เกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยและปานกบาง ผ่านการลดดอกเบี้ยเป็นการทั่วไป ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ผ่านการพักชำระเงินต้นและไม่คิดดอกเบี้ยกับลูกหนี้ในระหว่างพักชำระหนี้ ลูกหนี้ที่ขอสินเชื่อใหม่ผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
ส่วนแหล่งเงิน ให้ SFIs ทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลาม ใช้จ่ายจากเงินที่ได้จากการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) จากร้อยละ 0.25 ต่อปี เป็นร้อยละ 0.125 ต่อปี
สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 68 โดยจากประมาณการเงินนำส่งเข้า SFIF ของ SFIs ทั้ง 4 แห่ง ในปี 68 ซึ่งพบว่าหากได้รับการปรับลดอัตราเงินนำส่งฯ เหลือร้อยละ 0.125 ต่อปี จะมีการนำส่งเงินเข้า SFIF ลดลงประมาณ 8,092 ล้านบาท ส่วนแนวทางการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ ประกอบด้วย 2 แนวทางหลัก คือ
1.ยกระดับข้อมูลหนี้สินครัวเรือนที่จัดเก็บในระบบฐานข้อมูลของ บจก. ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการมีหนี้ที่สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในระดับที่เหมาะสมกับรายได้ และไม่เกินกำลังในการชำระคืน รวมถึงออกแบบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ได้อย่างตรงจุดและทันการณ์ และยกระดับข้อมูลหนี้สินครัวเรือน โดยมีแนวทาง เช่น ปรับปรุงและเพิ่มเติมการจัดทำฐานข้อมูลภาวะหนี้นอกระบบของครัวเรือน เพื่อให้มีข้อมูลสถานะภาระหนี้สินที่แท้จริง
2.การสร้างความสามารถในการแข่งขัน และการยกระดับรายได้ โดยดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินของครัวเรือน โดยมีแนวทาง เช่น ส่งเสริมให้แรงงานยกระดับทักษะฝีมือแรงงาน ดูแลให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจรายใหญ่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.เห็นชอบ อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้รับความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการ