ดราม่าคนดี

ใบตองแห้ง

ดราม่า “#กราบรถกู” ดูเหมือนกลายเป็นวาระแห่งชาติ กระทั่งท่านผู้นำยังหยิบยกไปเตือนสติว่า “ทุกคนต้องยับยั้งชั่งใจ มีสติในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องเห็นใจคนอื่นเขาบ้าง โมโหกันไปกันมาไม่เกิดประโยชน์”

จริงครับ โมโหแล้วใช้กำลัง ใช้อำนาจเหนือกว่ารังแกกัน ไม่เกิดประโยชน์ ซ้ำถูกสังคมประณามจนไม่มีที่ยืน

กระแสประณาม “น็อต#กราบรถกู” มาแรงจนกลบ ดราม่าอื่นๆ ในโลกออนไลน์ ไม่ว่า “อีปู” ซื้อข้าว ขายข้าว บริษัทห้างร้านช่วยชาวนา หรือทหารถือป้ายไวนิลไปช่วยเกี่ยวข้าวแล้วถ่ายภาพทำข่าว

เพราะมันเป็นคลิปสะเทือนอารมณ์สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แค่ใช้กำลังทำร้ายกัน แต่ยังมีความแตกต่างทางชนชั้น ฝ่ายหนึ่งเป็นพิธีกรทีวี ขับมินิคูเปอร์ เพิ่งรับรางวัล คนไทยตัวอย่าง” (พร้อมริว จิตสัมผัส) อีกฝ่ายเป็นแค่ลูกจ้างขับมอ’ไซค์ ถูกทำร้ายไม่พอ ยังบังคับให้ “กราบรถกู”

ทำไมต้องกราบ? ถ้าเป็นฝรั่งขับเฟอร์รารี่โดนรถบุโรทั่งชนแล้วหนี จะบังคับให้กราบไหม การกราบเป็นวัฒนธรรมไทย ใช้วัดความสูงต่ำ อารมณ์สังคมจึง peak สูงสุดเพราะรู้สึกเหมือนเห็นคนขี่มอ’ไซค์ต่ำชั้นกว่ามินิแสนรัก จนบางคนถาม นี่ใช่ไหม คนไทยตัวอย่าง อะไรๆ ก็บังคับให้กราบ

ไม่ต้องสงสัยเลย ชนแล้วหนี มอ’ไซค์ผิดแน่ พิธีกรก็ผิดฐานทำร้ายร่างกาย แต่ความผิดทางกฎหมายไม่ส่งผลร้ายเท่าทางสังคม ซึ่งโดนปลดจากทุกรายการ โทษฐาน “เป็นแบบอย่างไม่เหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน”

ซึ่งก็สมควร แม้ฟังแล้วขำไปอีกแบบ ดาราพิธีกรต้องมีมาตรฐานผลิตภัณฑ์ รักเด็ก รักสิ่งแวดล้อม จิตอาสา ทำดีเพื่อสังคม มีเงินสะสมก็ไปซื้อไร่ไถนา ฯลฯ ทั้งที่มีเกณฑ์เพียงง่ายๆ ว่าเมื่อไหร่คนดูไม่ยอมรับ คุณก็ทำอาชีพนี้ไม่ได้ ชีวิตคุณจะอินดี้มีโลกส่วนตัวอย่างไรก็ว่าไป ขอเพียงอย่าเสแสร้ง พกลม เคารพและให้เกียรติคนดู อย่าดูหมิ่นคนต้อยต่ำกว่า

ซึ่งเอาเข้าจริง สังคมไทยก็ไม่ได้มีมาตรฐานนัก เพราะดาราที่ดูถูกผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือนั่งหัวเราะดีอกดีใจเมื่อมือปืนป๊อปคอร์นยิงฝ่ายตรงข้าม ก็ยังลอยหน้าลอยตา อยู่ได้

ถามจริง สังคมไทยไม่รู้หรือว่าดารานักร้องทั่วฟ้าเมืองไทยมีค่ายต้นสังกัดดูแลภาพลักษณ์ ออกข่าว สร้างข่าว ตั้งแต่ข่าวฮือฮาคู่จิ้นฟินเว่อร์ไปถึงจัดกิจกรรมทำความดี ไม่ต่างกับบริษัทห้างร้าน ที่มีฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ ใช้ความดีเป็นการตลาด จนความดีมีเกร่อ ล้นเกินตามผลกำไร

ที่ถามอย่างนี้เพราะสงสัยว่าดราม่า “กราบรถกู” ให้อะไรกับสังคมไทย นอกจากบดขยี้พิธีกรหนุ่มให้ตาย ทั้งเป็น ไม่มีที่ยืนในสังคม “เอามันให้ตาย” แล้วใครที่ออกมาประณามก็เป็นคนดีหมด (ทั้งที่บางคนมีแผล) “เอามันให้ตาย” ล้นเกินจนโทร.ขู่วางระเบิด แจกของลับ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีหุ้น

แล้วไงครับ เอามันให้ตายแล้วจบ แล้วสังคมไทยก็จะกลับไปงดงามสถาวร เหลือแต่คนดีๆ อย่างนั้นหรือ จนกว่าจะมี “เหยื่อ” รายใหม่ ก็บดขยี้มันอีก เพื่อรักษาความดีของสังคมไทย ถามจริง คุณใช้วิธีนี้กำจัด “คนเลว” มาเท่าไหร่แล้ว

พูดอย่างนี้ไม่ได้ปฏิเสธพลังกระแสสาธารณะ แต่มันยังเป็นพลังฉาบฉวย ไปไม่สุด ยังไม่เกิดผลเชิงระบบ เชิงคุณค่า จะมีผลแค่อย่างดาราคนหนึ่งพูดว่า “ผิดเพราะทำในที่แจ้ง” ซึ่งสมควรถูกตำหนิ แต่ก็เป็นความจริง

ยิ่งกว่านั้นยังเห็นได้ว่ากระแสสาธารณะเล่นงานได้เฉพาะคนทำมาหากินกับสาธารณะ (ดารา พิธีกร พ่อค้าข้าวมันไก่ฆ่าหมา) หรือนักการเมืองที่ได้อำนาจจากสาธารณะ แต่ทำอะไรไม่ได้กับผู้มีอำนาจเหนือสาธารณะ แบบไม่ต้องแยแสสนใจใคร ไม่ว่าอำนาจเหนือรัฐ หรืออำนาจทางเศรษฐกิจ

ยกตัวอย่างดีเจ.ถอยรถชน ก็โดน “เอาตาย” ไม่เหลือที่ยืนในสังคม โดนศาลตัดสินจำคุก ปรับ ยึดรถ (ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด เหมือนยึดรถเด็กแว้น) แต่เทียบคดีลูกเศรษฐีขับรถพุ่งชน ไม่ใช่แค่คดีเงียบหาย แต่มาตรการทางสังคมทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะมีอำนาจทางเศรษฐกิจเกินพลังทางสังคม อ้าว คุณจะทำไง โทร.ขู่วางระเบิด? แจกของลับ? รณรงค์บอยคอต? หัวเราะก๊ากเลย

นั่นละครับท่านผู้ชม คาเวียร์ฮาวายคุณก็ไม่เห็นทำอะไรได้ มีอำนาจตั้งหลายอย่างที่คุณแตะต้องไม่ได้ ได้แต่ระบายกับดราม่า “กราบรถกู” ไปก่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน