ทนายอั๋นมอบรายชื่อผู้ช่วย สว. 200 ราย ให้อธิบดีดีเอสไอนำเข้าสำนวนสอบสวนฮั้ว สว.67 หลังพบพฤติกรรม สว. บางรายรีบปลดผู้ช่วยตัวเองยกชุด

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 มี.ค.2568 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ นำพยานหลักฐานเข้ามอบ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นรายชื่อของคณะทำงานของ สว. 200 ราย และเป็นคณะทำงานชุดแรก หลังจากเปลี่ยนคณะทำงานในชุดที่ 2 เพื่อให้ดีเอสไอตรวจสอบความเชื่อมโยงของบุคคลดังกล่าว ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการฮั้วการเลือก สว.หรือไม่ เพื่อให้รวบรวมหลักฐานเข้าสู่สำนวนของดีเอสไอ

นายภัทรพงศ์ เปิดเผยว่า ตนมายื่นเอกสารรายชื่อของผู้ช่วย สว.ในล็อตแรก หมายถึงล็อตแรกที่ได้รับเลือกเป็น สว. แล้วแต่งตั้งคณะผู้ช่วยทำงาน รวม 8 รายของ สว.แต่ละราย แต่พอวันที่ 1 ต.ค.67 มีการเปลี่ยนคนใหม่ ก็ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร สว.หลายคนเปลี่ยนคณะผู้ช่วยทำงานยกชุด โดยเฉพาะ สว.ลำดับ 13 พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย เปลี่ยนคณะผู้ช่วยทำงานยกชุดเช่นกัน

ตนมีข้อเคลือบแคลงสงสัยหลายประการ เช่น ทำไมต้องเปลี่ยนในเมื่อทำงานได้แค่ 2 เดือน เหตุใด สว.บางท่าน ที่มีนามสกุลว่า “เกรัมย์” ซึ่งเป็น สว. จากจ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นเพียงคนขับรถให้กับเจ้านายตระกูลดัง ดันเอาญาติที่มีนามสกุลเดียวกันไปเป็นผู้ช่วย สว.ให้กับคนอื่น ตนสงสัยว่าไปรู้จักกันตอนไหน มีความสัมพันธ์อย่างไรถึงให้ญาติตัวเองไปเป็นผู้ช่วย สว.คนอื่น ทำไมไม่ให้มาเป็นผู้ช่วย สว.ตัวเอง มันเกิดอะไรขึ้น หรือรู้จักกันก่อนนานแล้วหรือไม่

รวมทั้งกรณีของ สว. พบว่าเคยเป็น อสม. เคยเป็นเกษตรกร คนเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย หรือจบ ป.4 ซึ่งตนไม่ได้บูลลี่ แต่หากจะหาคนมาช่วยงานในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ ผู้ช่วย รวม 8 รายดังกล่าว ควรหาคนที่มีความรู้ความสามารถ หรือมีคุณวุฒิที่ตรงกับสายงานที่ตัวเองเป็น สว. ในกลุ่มนั้นๆ หรือไม่ เพราะ อสม.ถูกหยิบยกมาเป็นผู้ช่วย สว. จำนวนมาก เกษตรกรก็มี

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ข้อสังเกตประการต่อมา คือ มันมีการกระจุกอยู่กับพื้นที่ทางการเมืองที่พรรคสีน้ำเงินมีสส.จำนวนมาก หมายความว่า ผู้ช่วย สว.ไปเฟ้นหาคนจากตรงนั้นมา ตนจึงหวังว่าข้อมูลที่ตนนำมาให้ดีเอสไอในวันนี้ ซึ่งเป็นการนำข้อมูลมาให้เป็นครั้งที่ 3 ในฐานะพยาน จะเป็นประโยชน์ต่อการรวบรวมเข้าสำนวน

นอกจากนี้ ตนยังติดใจในประการสุดท้าย เพราะดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว แต่ยังติดใจประเด็นว่าความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นความผิดชั้น 2 จะต้องมีความผิดมูลฐานก่อน สมมติว่าหากสอบเส้นทางการเงินไปแล้ว ไปแตะนาย ก. ข. ค. ซึ่งอาจเป็นความผิดฐานอั้งยี่ซ่องโจร หรือความมั่นคงเกี่ยวกับรัฐ คำถามคือใครจะเป็นเจ้าภาพทำคดีดังกล่าว หรือให้รอ กกต.

แต่ด้วยข้อห่วงใย ตนจะเดินทางมาดีเอสไออีกครั้ง เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษจำนวนคนที่อยู่ในโพยฮั้ว 138+2 รายชื่อให้แยกเลขคดีพิเศษเป็นคดีใหม่ ฐานอั้งยี่ซ่องโจร อย่างไรตนจะขอนำเรื่องนี้ไว้ไปหารือกับอธิบดีดีเอสไอภายหลัง

ด้านพ.ต.ต.ยุทธนา เปิดเผยว่า หลังจากบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ 24/2568 รวมถึงตั้งคณะพนักงานสอบสวนเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งอัยการสูงสุดยังมอบหมายพนักงานอัยการ 8 ราย จากสำนักงานการสอบสวนมาร่วมเป็นพนักงานสอบสวนกับดีเอสไอ ตามมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

ในวันพรุ่งนี้ (21 มี.ค.) เวลา 13.30 น. จะมีการประชุมร่วมกันครั้งแรกครบองค์คณะ ระหว่างดีเอสไอและอัยการ ทั้งนี้ รายละเอียดประเด็นต่างๆ อาจยังไม่สามารถนำเปิดเผยได้ เพราะอยู่ระหว่างการสอบสวน

ส่วนวาระการประชุมในวันพรุ่งนี้นั้น วาระสำคัญคือการประชุมเปิดคดี เพื่อกำหนดประเด็นทางคดี เพราะอัยการที่มาร่วมสอบสวน อาจยังไม่รู้พฤติการณ์ที่มีการกล่าวหา ดีเอสไอจึงต้องนำเสนอให้อัยการได้รับทราบด้วย และจะได้ร่วมกันกำหนดประเด็นที่จะสอบสวนร่วมกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลักการในการสอบสวน คือ หากมีหลักฐานอะไรที่เป็นประโยชน์ ที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเพื่อพิสูจน์ความผิดและความบริสุทธิ์ของผู้ที่ถูกกล่าวหา

หากในการประชุมพรุ่งนี้ สามารถลงรายละเอียดได้ถึงขั้นตอนการแบ่งหน้าที่การสอบสวนระหว่างดีเอสไอและอัยการ เราจะได้หารือเรื่องนี้ร่วมกัน เพราะตนเพิ่งได้รับหนังสือแจ้งกลับจากอัยการเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) จึงจะนัดประชุมให้เร็วที่สุด จะได้เตรียมประเด็นด้วยกัน

ส่วนกรณีพยานเอกสารหลักฐาน ซึ่งนายภัทรพงศ์ นำมามอบให้ในวันนี้ จะถูกนำเข้าพิจารณาในการประชุมพรุ่งนี้หรือไม่ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ต้องถือว่าเป็นการแจ้งข้อมูลมายังดีเอสไอ เราต้องนำเข้าไว้เป็นประเด็นสอบสวนด้วย เพราะเรามีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานข้อเท็จจริงทุกอย่าง เพื่อพิสูจน์ว่าอะไรเกิดขึ้นที่ไหนอย่างไร ใครเกี่ยวข้องบ้าง และเป็นพฤติการณ์ในความผิดฐานใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน