ไล่จับกุมกลุ่มผู้เห็นต่าง ทั้งจนท.ทำเกินกว่าเหตุ พรเพชรฮึ่ม-คลิปเสียง ขู่สนช.-สื่อผิดกม.คอมพ์ มาร์คเชื่อปชป.ไม่ถูกดูด

รัฐบาลสหรัฐเผยแพร่รายงานสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ระบุคนไทยยังถูกละเมิดสิทธิรุนแรงในยุครัฐบาลคสช. ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเกินกว่าเหตุ คุกคามผู้ต้องหาคดีอาญา จับกุมคนเห็นต่างทางการเมือง จำกัดเสรี ภาพสื่อ ใช้คำสั่งคสช.ควบคุมตัวโดยไม่มีหมายศาล เหมือนใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก “พรเพชร” ตั้งกก.สอบคลิปเสียงล้มกระดาน สรรหากสทช. ขู่สนช.-สื่อ ส่อผิดพ.ร.บ. คอมพ์ เลขาฯ วิปฟันธงคลิปตัดต่อ แต่ยอม รับมี 8 คน คุณสมบัติไม่ถูกต้องจริง ป้องกก.สรรหาไม่ผิด เหตุมีเวลาน้อย จ่อขยายเวลาทำงานเพิ่ม “มาร์ค” จี้ “สนช.-กก.สรรหารับผิดชอบ ปชป.ท้าคสช.ตั้งพรรคสู้ตามระบบ อย่าอิงอำนาจรัฐ ด้านเพื่อไทยไม่หวั่นไหว มั่นใจอีสานยังอยู่ครบ

สหรัฐชี้คนไทยถูดละเมิดสิทธิ์รุนแรง

วันที่ 21 เม.ย. นายจอห์น ซัลลิแวน รักษาการ รมว.ต่างประเทศสหรัฐอเมริกา แถลงรายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศต่างๆ เกือบ 200 ประเทศทั่วโลก ประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการอ้างอิงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ และรายงานของรัฐบาลประเทศต่างๆ รวมถึงองค์กรเอกชนทั่วโลก

ในส่วนของไทยนั้นเป็นรายงานความ ยาว 44 หน้า อ้างอิงข้อมูลทางการไทยระหว่างเดือน ต.ค. 2559-ก.ย. 2560 มีเนื้อหาสำคัญระบุว่า นอกจากจะพบการจำกัดเสรี ภาพพลเมืองโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) แล้ว ยังพบปัญหารุนแรงด้านสิทธิมนุษยชนอีกหลายเรื่อง อาทิ เจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังเกินกว่าเหตุ รวมถึงการคุกคามหรือข่มเหงผู้ต้องหาคดีอาญา ผู้ถูกคุมขัง และนักโทษผู้ต้องขัง

รายงานระบุว่า นอกจากนี้ยังพบกรณีที่ทางการจับกุมและคุมขังประชาชนตามอำเภอใจ กรณีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงข่มเหงกลุ่มผู้เห็นต่างในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปัญหาการทุจริต การหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก และการค้ามนุษย์ แม้ที่ผ่านมาทางการจะดำเนินการสอบสวนเพื่อลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้ก่อเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่การที่เจ้าหน้าที่ได้รับการละเว้นจากการถูกลงโทษยังคงเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่มีการใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551

ระบุฝ่ายมั่นคงใช้กำลังเกินกว่าเหตุ

รายงานระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยมีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุต่อ ผู้ต้องสงสัย ผู้กระทำผิด หรือเกี่ยวข้องกับการวิสามัญฆาตกรรม โดยข้อมูลจากสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง กระทรวงมหาด ไทย ระบุว่าตั้งแต่เดือนต.ค. 2559-ก.ย. 2560 เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งหมายรวมถึงตำรวจ ทหาร และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้วิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยระหว่างการจับกุมไป 16 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากตัวเลขในปีก่อนหน้านี้

รายงานได้ยกตัวอย่างกรณีทหารวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ ป่าแส หรือจะอุ๊ เยาวชน นักกิจกรรมชาวลาหู่ บริเวณจุดตรวจยาเสพติดบ้านริมหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนมี.ค.2560 กรณีนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ ผู้นำการเคลื่อน ไหวเพื่อสิทธิชุมชนกะเหรี่ยง ซึ่งหายตัวไปเมื่อเดือนเม.ย.2557 รวมถึงกรณีของนาย วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ ที่สมาชิกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระบุว่าเขาถูกอุ้มหายไปจากประเทศลาว ซึ่งนายวุฒิพงศ์หลบหนีไปพำนักหลังถูกตั้งข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง ซ่องสุมอาวุธเพื่อก่อเหตุความรุนแรง และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

คสช.จับกุมคนเห็นต่างการเมือง

รายงานของทางการสหรัฐระบุว่า ที่ผ่านมา คสช.มักคุมตัวผู้ที่แสดงความคิดเห็นต่างทางการเมือง โดยข้อมูลจนถึงเดือนส.ค.2560 กรมราชทัณฑ์รายงานว่ามีผู้ถูกจำคุกหรือควบคุมตัวในความผิดฐานหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพ 135 คน องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนหลายแห่งระบุว่าการดำเนินคดี กับบุคคลเหล่านี้มักมีมูลเหตุมาจากเรื่องการเมือง

รวมถึงกรณีนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นักเคลื่อนไหวที่ถูกจับกุม

รายงานระบุว่า คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/ 2558 กำหนดให้ทหารมีอำนาจตรวจค้น ยึด และควบคุมตัวบุคคลไม่เกิน 7 วัน โดยไม่ต้องมีหมายของศาล การใช้อำนาจดังกล่าวเป็นลักษณะเดียวกับการใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ส่งผลให้ที่ผ่านมาพบกรณีทหารใช้อำนาจดังกล่าวคุกคามบุคคลที่แสดงความเห็นตรงข้ามกับ คสช.หรือสมาชิกครอบครัวของบุคคลนั้น เช่น กรณีองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานการข่มขู่คุกคามคนใกล้ชิดของนายชัยภูมิ ป่าแส

จำกัดเสรีภาพสื่อออนไลน์

นอกจากนี้ ทางการยังเฝ้าติดตามและตรวจสอบผู้เห็นต่าง รวมถึงชาวต่างชาติ โดยเดือนเม.ย.รัฐบาลได้ออกประกาศห้ามประชาชนติดต่อ หรือเผยแพร่ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ จากบุคคลต้องห้าม 3 คน ซึ่งเขียนวิจารณ์ประเทศไทยผ่านสื่อสังคมออนไลน์บ่อยครั้ง ได้แก่ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส และนายแอนดรูว์ แม็ก เกรเกอร์ มาร์แชล ผู้สื่อข่าวจากสกอตแลนด์

รายงานระบุว่า ทางการไทยใช้กฎหมาย เป็นเครื่องมือเอาผิดผู้ที่วิจารณ์สถาบันอย่างต่อเนื่อง แม้ที่ผ่านมาองค์กรสื่ออิสระจะยังดำเนินงานอยู่ได้ แต่ต้องเผชิญอุปสรรคในการทำงานอย่างอิสระ ผู้คนในแวดวงสื่อหลายรายแสดงความวิตกกังวลว่าคำสั่งของ คสช.จะจำกัดเสรีภาพสื่อ และสั่งระงับการทำงานของสื่อโดยไม่มีหมายศาล ขณะเดียว กันก็กังวลเรื่องที่ทางการเข้าไปจำกัดหรือ ขัดขวางการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตอย่างเสรี รวมถึงการเซ็นเซอร์เนื้อหาต่างๆ ทางออนไลน์ โดยที่ผ่านมามีรายงานว่ารัฐบาลได้ตรวจสอบผู้ให้บริการสื่อออนไลน์เอกชนโดย มิชอบด้วยกฎหมายด้วย

พรเพชรตั้งกก.สอบคลิปล้มกสทช.

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติ บัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเผยเเพร่คลิปเสียงอ้างถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ไม่เห็นชอบรายชื่อบุคคลที่ได้รับการเสนอ ชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ทั้ง 14 คนที่มีการสรรหาว่า ตนจะเซ็นตั้งคณะกรรมาธิการสอบข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ เบื้องต้นใช้เวลา 30 วัน สอบใน 2 ประเด็นคือ 1.การเผยเเพร่คลิปในสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีข้อความพาดพิงนายกฯ เกี่ยวกับการสรรหากสทช. ว่ามีจริงหรือไม่ เป็นคลิปเสียงจริง หรือคลิปตัดต่อเพื่อใส่ร้ายหรือไม่ และคลิปมาจากไหน รวมถึง สนช.หรือสื่อมวลชนคนใดที่เป็นต้นขั้วการเผยเเพร่ และสนช.หรือสื่อ ผู้ที่ได้รับคลิปต้นขั้วก็ต้องเรียกมาสอบหาข้อเท็จจริง สอบถามสถานที่และวันเวลา นำมาประกอบการหาข้อเท็จจริง แต่จะได้รับความร่วมมือหรือไม่ ไม่ทราบ

ขู่”สนช.-สื่อ”ส่อผิดกม.คอมพ์

นายพรเพชรกล่าวว่า 2.กรณีเผยเเพร่รายงานในสื่อ เกี่ยวกับข้อประชุมลับในการประชุมของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน มีการรายงานอ้างพาดพิงประธานศาลฎีกา ซึ่งมีข้อท้วงติงมาที่ตนว่าสื่อเอาข้อมูลมาจากไหน ทั้งที่ประชุมลับ ก็ต้องเรียกผู้เกี่ยวข้องมาชี้เเจง และหาข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม การตั้งกมธ.สอบข้อเท็จจริงครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งเอาผิดบุคคลใดเป็นหลัก แต่ตั้งเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงเสียก่อนเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย

“กรณีนี้ สนช.และสื่อเอง เสี่ยงทั้งทำผิดจริยธรรมและผิดกฎหมาย อาทิ พ.ร.บ. คอม พิวเตอร์ ซึ่งพอตรวจสอบได้ข้อเท็จจริงแล้ว อาจจะไม่มีผู้กระทำความผิดก็ได้ แต่หากพบผู้กระทำผิดจะต้องตั้งกมธ.ขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินการต่างหาก ส่วนความผิดจะมีมากน้อยเเค่ไหน ผมยังไม่ได้มองถึงจุดนั้น แต่คงมีกระบวนการอยู่แล้ว อยากฝากให้ระมัด ระวังเวลารายงานข่าว ว่าเป็นข้อมูลที่ได้มาอย่างถูกต้องหรือผิดกฎหมาย” นายพรเพชรกล่าว

วิปฟันธงคลิปเสียงตัดต่อ

นายสมชาย แสวงการ เลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสนช. (วิปสนช.) กล่าวว่า ยืนยันว่าคลิปที่หลุดมาไม่ใช่การประชุมวิปสนช. 100 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งไม่น่าจะใช่การประชุมคณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ที่มีพล.อ.อู้ด เบื้องบน เป็นประธานด้วยเพราะตนเป็นกรรมการทั้ง 2 ชุด ไม่เคยได้ยินว่ามีการพูดคุยตามเนื้อหาในคลิป และเท่าที่ฟังคลิป มั่นใจว่าเป็นคลิปตัดต่อ เพราะเสียงกระโดด เหมือนนำเสียงในการประชุมวงต่างๆ มาตัดต่อรวมกัน อย่างไร ก็ตาม ไม่ทราบว่าเสียงในคลิปเป็นเสียงของสมาชิกสนช.จริงหรือไม่ เดายาก เดาไปก็เสียหาย

รับ 8 รายมีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง

นายสมชายกล่าวว่า ส่วนเนื้อหาในคลิปที่ระบุว่า นายกฯ ไม่แฮปปี้กับรายชื่อ 14 ผู้สมัครนั้น เชื่อว่าไม่เป็นความจริง เพราะนายกฯ สั่งสนช.ไม่ได้อยู่แล้ว และนายกฯ ไม่เคยสั่งสนช. ถึงอย่างไร สนช.ไม่สามารถโหวตเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อเหล่านี้ได้อยู่แล้ว เพราะพบว่ามีคุณสมบัติไม่ถูกต้อง ซึ่งวิปสนช.ทราบเรื่องมาตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. แล้วว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อ 8 รายมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติไม่ถูกต้อง เพราะเคยถือหุ้น หรือเป็นผู้บริหาร พนักงานในบริษัทที่เกี่ยวกับกิจการวิทยุโทรทัศน์ โทรคมนาคม ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จึงมีการหารือหาทางออกกันมาตลอด จนได้ข้อสรุปในการประชุมสนช. เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ว่าจะไม่โหวตเลือกทั้ง 14 ราย

นายสมชายกล่าวว่า กสทช.เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หลายแสนล้านบาท มีทั้งคนลุ้นอยากให้ผู้ได้รับการเสนอชื่อชุดนี้ได้เป็นและไม่ได้เป็น ที่ผ่านมามักมีการแอบอ้างมาตลอดว่า ผู้สมัครคนโน้นคนนี้เป็นคนของนายกฯ หรือคสช. จึงมั่นใจว่าเป็นการแอบอ้างแน่นอน คงไม่ใช่ฝีมือของสนช.ปล่อยคลิปแทงกันข้างหลังแน่นอน

ป้องกก.สรรหา-เล็งขยายเวลาเพิ่ม

ส่วนที่มีการเสนอรายชื่อผู้มีปัญหาด้านคุณสมบัติเข้ามาให้สนช.เลือกถึง 8 รายนั้น นายสมชายกล่าวว่า ไม่อยากให้มองว่า เป็นความผิดของคณะกรรมการสรรหา เพราะคณะกรรมการสรรหาได้ตัดผู้มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องออกไปหลายราย แต่ที่ยังมีปัญหาอยู่ เนื่องจากพวกที่ไปจดทะเบียนก่อตั้งชื่อบริษัท ไปใช้ชื่ออื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจวิทยุโทรทัศน์ โทรคมนาคม แต่ในหนังสือบริคณฑ์สนธิ มีการระบุถึงวัตถุประสงค์การก่อตั้งบริษัทโยงกับธุรกิจโทรคมนาคม ซึ่งคณะกรรมการสรรหามีเวลาตรวจสอบแค่ 30 วัน อาจไม่เพียงพอ จึงอาจต้องแก้ไขให้คณะกรรมการสรรหามีเวลาตรวจสอบให้มากกว่า 30 วันต่อไป

“มาร์ค”ขย่มสนช.บี้แจงล้มกระดาน

ที่ศูนย์ประชุม-สัมมนา เดอะ คอนเน็คชั่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง สนช.มีมติเสียงข้างมากให้ล้มกระดานสรรหา กสทช.ว่า ลักษณะ ดังกล่าวคล้ายการคว่ำรายชื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 7 คนก่อนหน้านี้ จึงต้องรอดูว่า สนช.จะชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าวอย่างไร และจะสอบสวนคลิปเสียงหลุดอย่างไร รวมถึงจะต้องติดตามว่าคณะกรรมการสรรหาจะชี้แจงอย่างไร ได้มีการกลั่นกรองผู้สมัครแล้วหรือไม่ เนื่องจากบางคนขาดคุณสมบัติ หรือบางคนคุณสมบัติไม่ครบ แต่กลับมีชื่อขึ้นมาให้ สนช.พิจารณา ดังนั้น หากเกิดความ ล้มเหลวหลายครั้งก็ควรออกมารับผิดชอบ

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนแปลกใจที่คณะกรรมการสรรหา และ สนช.ไม่มีการพูดคุยกันอย่างจริงจังเกี่ยวกับการสรรหา ล้มการสรรหา ทั้ง กกต.และ กสทช. และเป็นห่วงว่าในอนาคตหากมีผู้สมัครที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจผ่านการคัดเลือก อาจถูกครหาได้ว่ามีความชัดเจนที่มีการใช้สายสัมพันธ์ในการเข้าสู่ตำแหน่ง จึงควรชี้แจงถึงสาเหตุการล้มการสรรหาให้ชัดเจน

ยันไร้สัญญาณอดีตส.ส.ทิ้งพรรค

เมื่อถามถึงขณะนี้มีการดึงตัวนักการเมืองกลุ่มพลังชลให้มาร่วมงานกับรัฐบาล กังวลว่าอดีตส.ส.พรรคในภาคตะวันออกอาจโดนชักชวนไปร่วมงานด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่กังวล เพราะใครอยากจะออกไปร่วมงานกับพรรคอื่นก็เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ หากว่ามีตำแหน่งรองรับที่ชัดเจน แต่ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าอดีตส.ส.พรรคในภาคตะวันออกจะไปร่วมงานกับพรรคอื่น แต่พรรคเราต้องการอยู่กับคนที่มีอุดมการณ์มั่นคง และทำงานด้วยกันในระยะยาว

ส่วนที่รัฐบาลพยายามจะดึงกลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อป้องกันการได้เสียงข้างมากจากพรรคใหญ่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรื่องการดึงตัวอดีตนักการเมืองไปเข้าร่วมงานโดยเอาตำแหน่งต่างๆ มาแลกเปลี่ยน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความพยายามสร้างฐานการเมือง แต่ตนย้ำหลายครั้งว่าอะไรที่เป็นสิทธิตามกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ทำได้ แต่ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย ที่สำคัญต้องไม่ลืมเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการเมือง ถ้าการเมือง เป็นเรื่องต่างตอบแทนก็ยากว่าการเมืองไทยจะดีขึ้นในอนาคต

ซัดเป็นการเมืองต่างตอบแทน

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้อดีตส.ส. พรรคยังไม่มีใครมาแสดงเจตจำนงจะออกจากพรรค ส่วนที่มีข่าวว่าตระกูลปิตุเตชะจะโดนดูด ขอให้ไปถามนายสาธิต ปิตุเตชะ ดีกว่าเพราะยังไม่มีอะไรบ่งบอกว่าอดีตส.ส. ภาคตะวันออกของพรรคจะไปร่วมงานการเมืองกับรัฐบาล แต่ใครอยากจะออกไปมีตำแหน่งก็เป็นสิทธิของเขา แต่ตอนนี้ปฏิเสธยากกับความพยายามสร้างฐานการเมือง แม้จะเป็นสิทธิตามกฎหมาย แต่ไม่ควรขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่พยายามปฏิรูปการเมือง ถ้ายังเป็นการเมืองต่างตอบแทน การปฏิรูปก็ยากจะดีขึ้นได้ ทั้งนี้ ตนไม่กังวล เพราะทำการเมืองด้วยอุดมการณ์ มีคนจำนวนมากที่ยึดแนวนี้และมั่นคงกับพรรค

ท้าคสช.ตั้งพรรคสู้ตามกติกา

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสการดึง ส.ส.ไปร่วมกับ คสช.ว่า การที่พรรคการเมืองตั้งขึ้นแล้วเชิญชวนสมาชิกที่มีอุดมการณ์ตรงกันเป็นเรื่องปกติที่นักการเมืองส่วนใหญ่เขาทำกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ คสช.มีอำนาจรัฐอยู่ในมือแล้วไปตั้งพรรคที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อไปดูดส.ส.เข้ามาร่วมนั้นเป็นเรื่องแปลก โดยเฉพาะการเสนอผลประโยชน์ เพราะเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมืองและทำให้พรรคอื่นเสียหาย ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และไม่ควรทำอย่างยิ่ง

นายวิรัตน์กล่าวว่า ตนคิดว่าคสช.ควร ตั้งพรรคแล้วสู้กันในกติกาตามระบบแบบบริสุทธิ์ยุติธรรม ปราศจากการใช้อำนาจรัฐมาเอื้อประโยชน์ให้ตนเอง ถ้าเขาตั้งพรรคจริงๆ ตนคิดว่าไม่มีใครจะมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะการตั้งพรรคโดยเปิดเผยเป็นสิ่งที่ทำได้และควรทำด้วยซ้ำ แต่ต้องไม่อาศัยอำนาจรัฐมาทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ ซึ่งเอาเปรียบคนอื่น ถ้าทำแบบนี้จริงถือว่าไม่ถูกต้อง

ขู่ใครไปแล้วไม่รับกลับรัง

เมื่อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ถูกผู้มีอำนาจดึงอดีตส.ส.ไปหรือไม่ นายวิรัตน์กล่าวว่า เท่าที่ทราบก็มีความพยายามจะดึงอดีตส.ส.ในพรรคเราอยู่ เพราะเขาคิดว่า ถ้าดึงเข้าไปร่วมแล้วจะได้แน่ๆ เพราะมีฐานคะแนนเสียงในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะไปไม่ไป ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสมาชิกคนนั้นๆ ส่วนจะเป็นพื้นที่ใดนั้นตนไม่สามารถระบุได้

“ถ้าคนในพรรคเราจะย้ายพรรคเราคงไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ แต่ถ้าย้ายออกไปแล้วโอกาสที่จะกลับเข้ามาในพรรคประชาธิปัตย์จะไม่มี ไปแล้วก็ไปเลย เราจะไม่รับกลับมาที่พรรคอีก ในเมื่อเห็นแนวทางและอุดม การณ์อื่นดีกว่าก็ต้องเดินหน้าต่อไป โดยไม่ต้องถอยกลับมา” นายวิรัตน์กล่าว

เมื่อถามว่าแนวโน้มนายกฯ จะลงการ เมืองหรือไม่ นายวิรัตน์กล่าวว่า คิดว่าพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. คงไม่ลงสมัครส.ส. แต่จะใช้ช่องทางพรรคเสนอชื่อนายกฯ 1 ใน 3 ชื่อ ถ้าพล.อ. ประยุทธ์ยินยอมก็เป็นไปได้ เพราะง่ายกว่าการใช้ช่องทางการเป็นนายกฯ คนนอก

พท.ไม่สนพลังดูดของรัฐบาล

นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงรัฐบาล คสช.ดึงกลุ่มการเมืองเข้าร่วมงานกับรัฐบาลว่า ไม่เหนือความคาดหมาย ยืนยันว่าการดึงนักการเมืองไปร่วมไม่ส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคต่อให้มีคนออกก็มีคนเข้าตามปกติ ส่วนจะมาดูดอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังมั่นคง ยังอยู่กับพรรคเหมือนเดิม ไม่มีปัญหา พร้อมทำงานรับใช้ประชาชนต่อไป ไม่หวั่นไหวกับพลังดูดเหล่านี้เลย โดยเฉพาะพื้นที่ภาคอีสาน เท่าที่ตนคุยกับเพื่อนๆ ทุกคนไม่มีท่าทีว่าจะย้ายไปไหนเลย ยังยึดมั่นต่อพรรคเพื่อไทย

“พวกเรายังมั่นคง ไม่หวั่นไหว เราเจอพลังดูดมาตั้งแต่สมัยพรรคพลังประชาชน วันนี้เป็นบทเรียนให้ทุกคนแล้วว่าเราต้องยืนหยัดอยู่ในกระบวนการของฝ่ายประชา ธิปไตยให้ได้ ยืนหยัดในสิ่งที่พรรคนำเสนอนโยบายและตอบสนองต่อประชาชน” นายสมคิดกล่าว

“เสี่ยติ่ง”นัดถกพลังพลเมืองไทย

นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ผู้ก่อตั้งพรรคพลังพลเมืองไทย เปิดเผยว่า พรรคพลังพลเมืองไทยได้นัดผู้ก่อตั้งพรรคประมาณ 30 คนมาประชุมในวันที่ 23 เม.ย. เวลา 14.00 น. ที่บ้านพักของตน ย่านถนนราชวิถี เพื่อมาประชุมซักซ้อม เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ก่อนจัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และจัดทำคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 เม.ย.นี้ ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ หลังจากพรรคได้รับหนังสืออนุญาตจาก คสช.ให้ดำเนินการกิจกรรมเกี่ยวกับพรรคได้ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.

นายสัมพันธ์กล่าวว่า ภาพรวมของพรรคพลังพลเมืองไทยขณะนี้ถือว่ามีความพร้อมอย่างมาก เบื้องต้นมีสมาชิกเกิน 500 คนตามที่กฎหมายกำหนด มีทุนประเดิมจัดตั้งพรรคเรียบร้อยแล้ว ส่วนความชัดเจนเรื่องตำแหน่งต่างๆ ของพรรคนั้นขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตอบ ขอให้รอความชัดเจนหลังจากนี้ก่อนน่าจะเหมาะสมกว่า

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน