นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยผลสำเร็จ หลังจากที่กระทรวงมหาดไทย ได้มุ่งเน้นความสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการสวมใส่ผ้าไทย ภายใต้โครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ตามแนวพระดำริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม รวมทั้งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศ มีอาชีพ มีรายได้มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ผลที่เกิดขึ้นพบว่าเฉพาะลายขอเจ้าฟ้าฯ มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่าพันล้านบาท และทำให้ภาพรวมของปีที่ผ่านมา ทั้งอุตสาหกรรมผ้าไทย รวมทั้งกลุ่ม OTOP ผ้าทั้งประเทศ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้หลายหมื่นล้านบาท

ปลัด มท. คาดการณ์ว่าในปีนี้ จะยิ่งมีคนนิยมสวมใส่ผ้าไทยเพิ่มมากขึ้น เพราะตอนนี้สังคมรับรู้รับทราบกันมากขึ้นแล้วว่าผ้าไทย ไม่ได้เป็นเรื่องของสมัยนิยม แต่ว่าเป็นเหตุผลที่จะช่วยชาวบ้าน ยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยหลายครัวเรือนให้เขามีความมั่นคงแข็งแรง และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้แค่เป็นการช่วยคนทอผ้าเท่านั้น แต่ว่าจะช่วยเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งระบบ ไปจนถึงคนที่ทำ packaging คนทำกล่อง ทำถุงกระดาษ เกี่ยวพันไปถึงกลุ่มคนที่เป็นเกษตรกร ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย และเชื่อมโยงไปถึงการช่วยภาคระบบขนส่งต่างๆ ที่จะมีการกระจายสินค้า

นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคนใน 3 – 4 ช่วงอายุ ช่วยคนทั้งครอบครัว นั่นหมายความว่าผลสำเร็จของโครงการนี้เกี่ยวพันกับอนาคตของชาติด้วย เพราะว่าการที่ครอบครัวที่ทำอาชีพเกี่ยวกับผ้า จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ลูกหลานที่อยู่ในครอบครัวเหล่านี้ ก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการศึกษาที่ดีและสามารถที่จะพัฒนาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ในอนาคต ถือว่าเรื่องนี้ส่งเสริมกันทั้งวงการ ทั้งวงจร พูดง่าย ๆ ก็คือผลดีไม่ได้เกิดเฉพาะแค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์นี้ได้ส่งผลสะเทือนไปทั้งวงการ ทุกองค์กร ผมจึงอยากจะเชิญชวนให้คนไทยใส่ผ้าไทยกันเยอะ ๆ

จากที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงลงมาช่วยทุ่มเทพระวรกายเต็มที่ ทำให้พวกเรามีความหวังว่า วงการผ้าไทยจะสามารถเดินไปข้างหน้าได้อีก พร้อมกับความเจริญของโลก โดยที่เราไม่ทอดทิ้งสิ่งที่ดีงามของบรรพบุรุษไทย อีกทั้งส่งผลให้สภาวะรวยกระจุกจนกระจายที่เกิดขึ้นในอดีต ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก เพราะเราจะก้าวไปด้วยความพอเพียง ความมั่นคงที่ให้ทุกคนมีความสุขในชีวิตภายใต้พระบารมีปกเกล้าฯ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ว่าจะทรงงานหนักเพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดแนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือ สมเด็จย่าของพระองค์ท่าน ที่ทรงจุดประกายผ้าไทย ในการที่จะรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่นและใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทย ตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว และคนที่อยู่ในรุ่นนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ กลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของศูนย์ศิลปาชีพ ตั้งอยู่ที่วัดนาหว้า วัดธาตุประสิทธิ์ บ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ป้ายก็ยังเขียนไว้ชัดเจนว่าเป็นศูนย์ทอผ้าไหมแห่งแรกของศูนย์ศิลปาชีพ คนที่มีชีวิตในรุ่นนั้น หลายคนมีโอกาสรับเสด็จ เมื่อ 23 มกรมคม ที่ผ่านมา พอชาวบ้านเห็นพระองค์ท่าน ก็ดีอกดีใจจนน้ำตาไหลร้องไห้ และขอให้พระองค์ท่านอย่าทิ้งชาวบ้าน พระองค์ท่านก็มีพระดำรัสที่แน่วแน่หนักแน่นมั่นคงว่าพระองค์ท่านไม่ทิ้ง และจะเสด็จมาอีก แล้วจะมาช่วยเป็นกำลังใจช่วยให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี เหมือนที่สมเด็จย่าของพระองค์ท่านเคยช่วยเอาไว้

ภาพที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ นายสุทธิพงษ์ กล่าวด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทรงตั้งมั่นและทรงดำเนินพระกรณียกิจนี้ มีคุณค่ามีความหมายต่อความมั่นคงของชาติอย่างยิ่ง สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ก็คือ ชาวบ้านจะมีช่องทางในการที่จะมีอาชีพเสริม หรือมีอาชีพหลักจากการทอผ้า จากการใช้ความรู้ทักษะความชำนาญที่ฝึกฝนมาจากบรรพบุรุษมาเป็นเครื่องมือประกอบสัมมาอาชีพ ประการต่อมา ทำให้สังคมของเราเป็นสังคมที่มีความผูกพัน รักใคร่และเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งอันนี้เป็นหลักชัยของประเทศ ที่จะทำให้สังคมเราเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง เพราะเรามีความรัก มีความสามัคคี มีความจงรักภักดี และสิ่งเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อน เกิดการรวมกลุ่มการประกอบอาชีพ มีความร่วมไม้ร่วมมือกันดูแลครอบครัว ดูแลชุมชน มีพลังเพิ่มมากขึ้น

สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือว่าพี่น้องประชาชนมีความอบอุ่นหัวใจ หลังได้รับลายผ้าพระราชทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่สอนและตอกย้ำให้เราได้รู้ว่าสิ่งที่เป็นภูมิปัญญานั้นสามารถที่จะพัฒนาต่อยอดได้ และในการเสด็จเยือนครั้งนี้พระองค์ท่านก็มีพระดำรัสกับกลุ่มชาวบ้านที่มารับเสด็จ ว่า ลายเก่าก็ต้องรักษาไว้ ไม่ให้ทอดทิ้งภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ อีกประการคือ พระองค์ท่านทรงบอกชาวบ้านว่าเดี๋ยวจะมีการจัดประกวดลายเก่าๆ ลายต่าง ๆ รวมถึงจะให้มีการจัดประกวดสาวไหมด้วยด้วยมือ ผมคิดว่าจะเป็นเครื่องกระตุ้นให้ชาวบ้าน ทุ่มเทการทำงานมากขึ้น และอนุรักษ์ได้มากขึ้น

จากปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้น จะเป็นการตอกย้ำว่าประเทศเราจะมีความมั่นคงเรื่องเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ก็คือพวกเราต้องทำด้วยมือให้เป็นเพราะในอนาคตเราไม่รู้หรอกว่าจะมีโรคระบาดที่รุนแรงกว่านี้อีกหรือไม่ หรือมีภาวะสงครามเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะฉะนั้นถ้าคนเราไม่สามารถที่จะพึ่งพาตนเองได้ด้วยมือของเราเอง ไปพึ่งพาแต่เครื่องจักรอนาคตเราจะไม่มีเสื้อผ้าใช้ ไม่มีเส้นด้ายต้องรอจากที่อื่นส่งเข้ามา ก็ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด คือหากเกิดความมั่นคงสามารถผลิตเองได้ จะมีราคาถูก ประหยัด ต้นทุนต่ำ หรือไม่มีต้นทุนเลย มีแต่ค่าแรง

สิ่งเหล่านี้จะ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิตอย่างยั่งยืนได้ ผมจึงมองว่าประเทศชาติเราจะมีความมั่นคง เหมือนกับที่เรามีความมั่นคงทางอาหาร ที่เราเคยมีโครงการ ปลูกผัก เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารทำได้เองที่บ้านเรา เราก็มั่นใจได้ว่าต่อให้เราไม่มีเงิน เราก็ยังมีกิน แม้มีโควิดตลาดไม่สามารถเปิดขายได้เพราะมีมาตรการป้องกันโรคระบาดเราก็ยังมีกินมีใช้ แถมมั่นใจได้ล้านเปอร์เซ็นต์ว่าสะอาดปลอดภัย จึงเป็นหลักการเดียวกันกับเรื่องนี้ว่าความมั่นคงของเครื่องนุ่มห่ม มันต้องเกิดด้วยมือเรา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทางกระทรวงมหาดไทยจะขับเคลื่อน จะเป็นเหมือนเป็นการ Back To The Basic ภาพรวมในส่วนของอุปสงค์อุปทาน หากมีผู้นำประเทศผู้นำกระทรวง ทบวง กรมหน่วยราชการต่างๆช่วยกันสวมใส่ผ้าไทยในทุกระดับ และเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ทรงทุ่มเทพระวรกาย และทรงเป็นมิ่งขวัญของพวกเราทุกคน ท่านผลักดันเต็มที่เช่นนี้ ความสำเร็จของลายผ้าลายใหม่ ลายขิดนารีรัตน์ราชกัญญา ก็จะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลายขอเจ้าฟ้าฯ แน่นอน เพราะว่าความที่คนไทยมีกระแสนิยมผ้าไทยเพิ่มมากขึ้นตามแนวพระดำริผ้าไทยใส่ให้สนุก ใส่ได้ทุกเพศทุกวัย ทุกโอกาส และ

เชิญชวนให้ดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงในประเทศเรา มาช่วยกันออกแบบ มาสอนเป็นโค้ชชิ่ง ให้ชาวบ้านได้เห็น ทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่ดี คุณภาพดี ถูกใจผู้คนในที่สุดจะทำให้พี่น้องประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน