จากกรณีครอบครัวหัวร้อนก่อเรื่องราวทะเลาะวิวาทกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนโดนขุดคุ้ยวีรกรรมออกมาแฉ ว่า เคยก่อเหตุมาแล้วทั่วเมือง โดยมีพฤติกรรมเดิมๆ คือ ด่าทอ โวยวาย ถ่ายคลิปเหตุการณ์ไว้

โดยรายการทุบโต๊ะข่าว อัมรินทร์ทีวี ได้เผยแพร่ว่า ครอบครัวดังกล่าว นายพยอม แสงวันดี, น.ส.หทัยรัตน์ สมถวิล และลูกชาย ได้ขอคำปรึกษาจากทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทนายษิทราฟังอีกครั้งว่า ขณะเกิดเหตุ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายร่างกายเช่นกัน และสิ่งที่ตำรวจทำนั้นก็เกินกว่าเหตุ เนื่องจาก น.ส.หทัยรัตน์ กำลังตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน

โดยทนายตั้ม ได้บอกกับครอบครัวนายพยอม ว่า สิ่งที่ตำรวจทำนั้น ถือว่าทำได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ และที่ตำรวจเข้าระงับเหตุ หลังจากที่ลูกชายของนายพยอม และ น.ส.หทัยรัตน์ แสดงท่าทางเหมือนกับจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตำรวจก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะถือว่าเป็นการเข้าจับกุม ซึ่งในคลิปจะเห็นได้ว่าเด็กได้มีการกระทำผิดจริง เห็นชัดว่าลูกชายจะเข้าไปชกตำรวจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ พร้อมทั้งแนะนำให้ครอบครัวนายพยอม อย่าอารมณ์ร้อน เพราะผลที่ออกมาไม่ดีต่อครอบครัว และอยากให้ไปรับสารภาพว่าทำผิดจริง ขอโทษตำรวจ ขอโทษสังคมอย่างจริงใจ เพื่อครอบครัวจะได้ไม่ตกเป็นจำเลยสังคม ไม่ต้องโดนขุดคุ้ยข้อมูลเก่า ๆ และถูกโจมตีจากโซเชียลอีก เรื่องหนักจะได้กลายเป็นเบา ส่วนที่ไปแจ้งความตำรวจก็ขอให้ไปถอนแจ้งความ และพาลูกชายไปขอโทษตำรวจด้วย ทั้งนี้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการให้อภัย หากขอโทษ ยอมรับผิด อาจจะทำให้คนไทยมองครอบครัวนายพยอมดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าขอโทษแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลง หรือตำรวจจะไม่เอาเรื่อง ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย

ด้านนายพยอม เปิดเผยว่า รู้สึกสบายใจขึ้นและพร้อมจะทำตามคำแนะนำ จะไปขอโทษตำรวจ จะได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิม หลังจากคลิปถูกเผยแพร่ออกไปก็รู้สึกเครียดเพราะถูกสั่งพักงาน แล้วตนเป็นหัวเรือใหญ่ต้องดูแลครอบครัว ญาติพี่น้องอีกประมาณ 9 คน ตอนนี้เดือดร้อนมาก เนื่องจากขาดรายได้ แถมครอบครัวยังโดนโจมตีอย่างหนัก หลายคนโทร. มาด่า ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จนต้องปิดมือถือหนี ตนอยากขอโทษสังคมที่แสดงกิริยาที่ไม่ดีต่อสาธารณชน ต่อไปจะควบคุมอารมณ์ให้เย็นลง และไม่ทำพฤติกรรมเช่นนี้อีก เพราะได้บทเรียนครั้งสำคัญของชีวิตแล้ว รวมถึงจะพาลูกไปขอโทษตำรวจด้วย

ขณะที่ น.ส.หทัยรัตน์ เปิดเผยว่า ตนมีความรู้สึกไม่ดีกับตำรวจเพราะเมื่อ 6-7 ปี ก่อน ตนถูกตำรวจจับเนื่องจากพกปืนบีบีกัน กระสุนลูกปราย ต้องอยู่ในเรือนจำถึง 3 วัน พอถูกปล่อยตัวออกมาตนกลับไปตรวจสอบคดีว่าจะต้องไปขึ้นศาลอีกครั้งวันไหน แต่ปรากฏว่าไม่พบคดีของตัวเองและคดีก็เงียบหายไป ทำให้เป็นปมคาใจให้ตัวเองนำตำราเรียนจากญาติที่เรียนนิติศาสตร์ มาศึกษาด้วยตนเอง

ด้าน ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ตั้งข้อสังเกตกรณีนี้ว่า การเข้าไปอยู่ในเรือนจำถึง 3 วัน แต่กลับไม่ปรากฏข้อหานั้นเป็นไปไม่ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน