เฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร / ประธานสภาแถลงข่าวมหาปีติ ค่ำวันที่ 1 ธค.

59vvip199-12-01-16-09_resize

ประมุขอำนาจ 3 ฝ่าย ประกอบด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ พร้อมด้วยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์ ทรงตอบรับแล้ว

จากนั้นประธานสนช.ออกประกาศแจ้งประชาชนทั่วประเทศทราบด้วยความปีติยินดี

ด้านสำนักพระราชวัง แจ้งว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระปรมาภิไธย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

พร้อมกับหมายกำหนดการเสด็จพระราชพิธีปัญญาสมวาร บำเพ็ญกุศลพระบรมศพในหลวงในพระบรมโกศ ขณะเดียวกันทำหนังสือถึงกรมประชาสัมพันธ์ แจ้งคำอ่านออกเสียงด้วย

59vvip199-12-01-16-22_resize

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 1 ธ.ค. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ได้ถ่ายทอด ประมุข 3 ฝ่ายประกอบด้วย ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และผู้สำเร็จราชการฯ กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ว่า เมื่อเวลา 19.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯยังพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชทานวโรกาสให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผู้สำเร็จราชการฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท โดยนายพรเพชรทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ในนามของปวงชนชาวไทยได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

ในโอกาสนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชดำรัสว่า “การที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้กล่าวในนามของปวงชนชาวไทย เชิญข้าพเจ้าขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นไปตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ตามบท บัญญัติของกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าตอบรับเพื่อสนองพระราชปณิธาน และเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยทั้งปวง”

จากนั้น ทรงกราบถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเปิดกรวยดอกไม้ ทรงก้มลงกราบ ต่อมาพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กล่าวถวายพระพรชัยมงคล

ต่อมา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ได้เสด็จสวรรคตแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค 2559 เวลา 15.52 น. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 2 วรรคสอง ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติ เรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ว่า ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้ง พระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 แล้ว ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ และให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ โดยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 แล้ว เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2515

สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ได้รับทราบกรณีสวรรคตดังกล่าวด้วยความโทมนัสยิ่ง โดยเมื่อวันที่ 29 พ.ย.2559 สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีการประชุมเพื่อรับทราบการแต่งตั้งพระรัชทายาท และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ได้นำความกราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 2 วรรคสอง ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2557 มาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง จึงขอประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขึ้นทรงราชย์เป็น พระมหากษัตริย์ ตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2559 เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 1 ธ.ค.2559

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอประกาศให้คนไทยทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักรและต่างประเทศทั่วโลกว่า บัดนี้ประเทศไทยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่แล้ว ตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญขึ้นทรงราชย์ ของประธานสนช. ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกฯ และประธานศาลฎีการ่วมเป็นสักขีพยานในพิธีประวัติ ศาสตร์นี้ และทรงพระกรุณาฯรับคำกราบบังคมทูลอัญเชิญดังที่ได้มีประกาศ สนช. เพื่อแจ้งประชาชนแล้ว

นายกฯกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ และโบราณราชประเพณีทุกประการ ทั้งสนองพระราชดำริสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่พระราชทานไว้แต่แรกว่า ระหว่างที่พระองค์และประชาชนกำลังทุกข์โศกอย่างใหญ่หลวงจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ยังไม่ควรดำเนินการเรื่องการสืบราชสมบัติทันทีในขณะนั้น หากแต่ควรรอจนการบำเพ็ญพระราชกุศลและการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมศพผ่านพ้นไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ถึงเวลาการบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวารคือครบ 50 วัน จึงขอพระราชทานพระราชานุญาตดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย อนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณีโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งสอดล้องคตินิยมในนานาประเทศที่ว่าราชอาณาจักรย่อมไม่ว่างเว้นขาดตอนจากการมีพระมหากษัตริย์ ดังนั้น การเริ่มรัชกาลใหม่จึงมีผลต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค. 2559 เป็นต้นไป

บัดนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งทรงสถิตอยู่ในพระราชสถานะองค์พระรัชทายาทมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 นับเป็นเวลาถึง 44 ปี จึงทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ส่วนการจะดำเนินการต่อไปเพื่อให้เป็นไปตามโบราณราชขัตติยประเพณี ที่เรียกว่า“พระราชพิธีบรมราชาภิเษก” นั้น ย่อมขึ้นกับพระราชวินิจฉัย ซึ่งมีพระราชดำริแล้วว่าควรดำเนินการเมื่อเสร็จสิ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

นายกฯกล่าวว่า แม้เราต่างก็รู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักย่อมเป็นทุกข์ แม้การสูญเสียความวิปโยคจะเป็นวิกฤตที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เราทั้งหลายควรใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสแปลงความทุกข์โศกให้เป็นพลังของแผ่นดิน พลังที่แม้จะไม่มีพระผู้เป็นพลังของแผ่นดินทางพระรูปกายอยู่คุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อม แต่พลังของแผ่นดินยังจะมีอยู่ต่อไป ด้วยพลังแห่งความศรัทธาเชื่อมั่นในพระบรมราชปณิธานและศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ พระบรมราชปิโยรสเป็นผู้นำแทนพระองค์

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งหลายขอให้เราทุกคนร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน ขอพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระปิยะมหากษัตริย์นักพัฒนาเป็นอาทิ ได้โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ให้ทรงพระเจริญ สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาราษฎรชาวไทยและประเทศไทย ให้สามารถพัฒนาจนประสบความสำเร็จบังเกิดความเจริญรุ่งเรือง มีสันติสุขและความสามัคคี ปรองดอง สมดังพระราชปณิธานปรารถนา ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตราบกาลนานเทอญ

จากนั้ มีประกาศ เฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แจ้งว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้มีประกาศเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 ว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 จึงได้มีการประชุมเพื่อรับทราบ และได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระรัชทายาท โดยประกาศให้ทราบทั่วกันว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์แล้วนั้น ทรงพระราชดำริว่าในระหว่างที่ประชาชนยังมิได้ถวายพระปรมาภิไธย เนื่องในการพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก อันจะพึงมีต่อไปตามพระราชประเพณีเป็นการสมควรที่จะเฉลิมพระปรมาภิไธยเป็นการชั่วคราว เพื่อความสะดวกในการเรียกขานพระนาม จึงมีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

ประกาศ ณ วันที่ 1 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 เป็นปีที่ 1 ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระราชโองการ

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

จากนั้นเป็นการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

สำหรับพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวารถวายพระบรมศพ วันที่ 2 ธันวาคม 2559 นั้น เลขาธิการพระราชวัง รับพระราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตจะบรรจบครบ 50 วัน ในวันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดการทรงบำเพ็ญพระราชกุศลดังนี้

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง

เวลา 10.30 น. เสด็จพระราชดำเนินเข้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะกราบถวายบังคมพระบรมศพ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 30 รูปที่สวดพระพุทธมนต์แต่วันก่อนถวายพรพระจบ ทรงประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว ทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เจ้าพนักงานนิมนต์พระสงฆ์ที่จะถวายพระธรรมเทศนาและสวดธรรมคาถาขึ้นยังอาสนะ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระราชาคณะถวายศีลและถวายพระธรรมเทศนาจบ พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา แล้วทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์ และทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา แล้วทรงทอดผ้าไตร พระสงฆ์อีก 89 รูปเท่าพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสด็จพระราชดำเนินกลับ

การแต่งกาย แต่งเครื่องแบบครึ่งยศ ไว้ทุกข์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักราชเลขาธิการ ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ถึง อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เรื่องการประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีรายละเอียดระบุว่า เนื่องในโอกาสที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ในนามของปวงชนชาวไทย ได้กราบบังคมทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2559 นั้น ระหว่างที่ประชาชนยังมิได้ถวายพระปรมาภิไธย เนื่องในพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกตามพระราชประเพณี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ดังนี้

1.ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” คำอ่าน สม-เด็ด-พระ-เจ้า-อยู่-หัว-มะ-หา-วะ-ชิ-รา-ลง-กอน-บอ-ดิน-ทระ-เทบ-พะ-ยะ-วะ-ราง-กูน

2.ภาษาอังกฤษว่า “His Majesty King Maha Vajiralongkorn Bodindradebayavarangkun”

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 15.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ข้อปฏิบัติภายหลังประธานสภานิติบัญญัติฯเข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบบังคมทูลเชิญขึ้นทรงราชย์ และมีประกาศให้ประชาชนทราบอย่างเป็นทางการในวันนี้ว่า ประชาชนยังใช้ชีวิตตามปกติและถวายบังคมพระบรมศพได้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมทั้งสิ้น เพราะเป็นพระราชบัณฑูรมาตั้งแต่ 1 เดือนที่ผ่านมาแล้วว่าให้ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ

นายวิษณุกล่าวว่า สำหรับหน่วยงานราชการ เอกชน ประชาชนทั้งประเทศ ที่จะประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วงเวลานี้ขอให้อยู่อย่างสงบตามปกติ และรอฟังการประกาศจากรัฐบาลที่จะประชุมหารือถึงวิธีการในเรื่องดังกล่าว และจะออกเป็นประกาศให้ส่วนราชการต่างๆ ได้รับทราบ ทั้งวิธีการใช้ถ้อยคำเรียก คำศัพท์ ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ขณะนี้ผู้ที่เตรียมการเรื่องดังกล่าวกำลังดำเนินการอยู่ และจะประกาศเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ให้รอฟังประกาศจากทางราชการ อย่าไปฟังข่าวลือหรือข่าวที่แต่งกันขึ้นมาเอง

นายวิษณุกล่าวว่า ผู้ที่คิดจะทำกิจกรรมเรื่องใดขอให้รอก่อน ส่วนสื่อมวลชน โดยเฉพาะโทรทัศน์ ขอให้ระมัดระวังการรายงานข่าวในพระราชสำนัก อย่าเผลอใช้ความเคยชินในการออกพระนามเดิมว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

นายวิษณุกล่าวว่า การประดับพระบรมฉายาลักษณ์ในพื้นที่ต่างๆ ทั้งบริเวณถนนราชดำเนิน ส่วนราชการ หรือห้างร้าน ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง การไว้ทุกข์ก็ยังเหมือนเดิมเช่นกัน เช่นเดียวกับเมื่อ 70 ปีที่แล้ว ที่ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต ค่ำวันเดียวกันก็มีการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทันที วันรุ่งขึ้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ประชาชนยังแต่งดำตามปกติ พระบรมรูป พระบรมฉายาลักษณ์ก็ยังอยู่ตามปกติ และในสมัยนี้ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชโอรส ก็ได้มีพระราชบัณฑูรให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความปกติ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมพระองค์ในทุกเรื่อง

เมื่อถามว่า การเข้าเฝ้าฯในวันนี้จะประกอบด้วยใครบ้าง นายวิษณุกล่าวว่าจะมีนายกฯเป็นตัวแทนฝ่ายบริหาร ประธานสนช.ตัวแทนฝ่ายนิติบัญญัติ ประธานศาลฎีกาเป็นตัวแทนฝ่ายตุลาการ ส่วนพล.อ.เปรมจะเข้าเฝ้าฯในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งจะสิ้นสุดภาระรับผิดชอบ โดยการกราบบังคมทูลนั้นจะเป็นหน้าที่ของประธานสนช.ในฐานะประธานรัฐสภา และประธานสภาจะออกประกาศให้ประชาชนทราบตามที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าเข้าเฝ้าฯคืนเดียวกันนี้ เพราะชาวบ้านกำลังรอฟังกันอยู่ และขอให้รำลึกไว้ว่าทั้งหมดคือการย้อนหลังไปถึงวันที่ 13 ต.ค.ทั้งสิ้น ตามหลักที่ถือกันว่าราชบัลลังก์จะไม่ว่างลง

ผู้สื่อข่าวรายงานในเย็นวันเดียวกันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดได้เดินทางไปร่วมพิธีมหามงคลที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับอัญเชิญขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ ในวัดที่เจ้าคณะจังหวัดจำพรรษาอยู่ ซึ่งวัดแต่ละแห่งได้เตรียมการพร้อมกันในเวลา 20.00 น. โดยตั้งโต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมเครื่องสักการะ เช่น พุ่มดอกไม้ เทียนแพ และกรวยดอกไม้ ภายในอุโบสถวัด นิมนต์พระภิกษุสามเณรพร้อมกันเวลา 20.00 น. รับชมรายการโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และเมื่อรายการดังกล่าวดำเนินการมาถึงช่วงที่บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พระภิกษุสามเณรทุกรูปเจริญชัยมงคลคาถา และลั่นฆ้อง กลอง ระฆัง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน