กยศ.จ่อตามตัว ศิษย์เบี้ยวหนี้ ‘ครูวิภา’ ครูสะอื้น ไม่อยากทำร้าย เคยสอนให้ซื่อสัตย์

กยศ.จ่อตามตัว / วันที่ 25 ก.ค. ที่อาคารเอไอเอ แคปปิตอล เซ็นเตอร์ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่น.ส.วิภา บานเย็น ผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกำแพงเพชร ได้เป็นผู้ค้ำประกันให้แก่นักเรียนที่เป็นผู้กู้ยืมตั้งแต่ปี 2541-2542 จำนวน 60 ราย แต่มีลูกศิษย์ที่ค้างชำระหนี้ กยศ. จนถึงขั้นบังคับคดีกับครูที่เป็นผู้ค้ำประกันนั้น กองทุนได้ตรวจสอบสถานะคดีของผู้กู้ยืมที่ น.ส.วิภาได้เป็นผู้ค้ำประกันแล้ว

พบว่า มีจำนวน 60 ราย จากจำนวนดังกล่าว มีผู้กู้ที่ชำระหนี้ปิดบัญชีเรียบร้อยแล้ว 29 ราย ชำระหนี้ตามปกติ 10 ราย ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งสิ้น 21 ราย ในจำนวนคดีที่ถูกฟ้องร้องมีการยึดทรัพย์แล้ว 4 ราย หลังการที่ฟ้องคดีได้มีการสืบทรัพย์ ซึ่งทั้ง 4 รายนี้ กยศ. ไม่พบทรัพย์ของจำเลย แต่พบทรัพย์ของครูวิภา จึงได้ดำเนินการยึดทรัพย์ของ น.ส.วิภาทั้ง 4 คดี

“เพื่อช่วยเหลือครู กยศ.ร่วมมือกับสำนักงานบังคับคดี จังหวัดกำแพงเพชร ดำเนินการถอนการยึดทรัพย์ต่อไป และหากครูวิภาต้องการไล่เบี้ยคืนจากลูกศิษย์ กยศ. พร้อมในการจัดหาทนายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องให้ และในส่วนคดีอีก 17 คดีที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นตอนการบังคับคดี ซึ่งทั้ง 17 รายนี้คิดเป็นเงินต้นที่ค้ำประกันประมาณ 190,000 บาทยังไม่รวมดอกเบี้ย แต่หากคิดรวมดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 300,000 บาทนั้น ก่อนหน้านี้ครูวิภา ได้รับหมายศาลแจ้งยึดทรัพย์ ขณะนี้ได้ กยศ.ประสานกับกรมบังคับคดีชะลอการยึดทรัพย์เพื่อช่วยเหลือครูวิภาเบื้องต้น” นายชัยณรงค์ กล่าว

กยศ.จะเร่งติดตามสืบทรัพย์ทั้ง 17 รายผ่านทางสำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร ว่าบุคคลเหล่านี้ทำงานอยู่ที่ไหน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กยศ. มีอำนาจดำเนินการตาม พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้กู้ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการนำร่องหักเงินจากข้าราชการกรมบัญชีกลางเป็นที่แรก และจะขยายผลเรียกเก็บเงินในข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง

และขยายไปยังหน่วยราชการที่อยู่ในระบบจ่ายตรงเงินเดือนของกรมบัญชีกลางภายในสิ้นปี2561 และต้นปี 2562 กยศ.จะเริ่มดำเนินการเรียกเก็บเงินเดือน โดยมีบริษัทใหญ่ที่มีจำนวนพนักงานจำนวน 1 แสนคนขึ้นไป เป็นองค์กรนำร่อง คาดว่าภายในอีก 2 ปี กยศ. จะดำเนินการหักเงินเดือนของผู้กู้ กยศ. ทั้งภาครัฐและเอกชนได้หมด” นายชัยณรงค์ กล่าวต่อ

นายชัยณรงค์ กล่าวต่อว่า กระบวนการกู้ยืมเงินนั้น กยศ.จะมีการปฐมนิเทศนักเรียนและผู้ปกครองเพื่อให้ความรู้ว่าในการชำระหนี้ ต้องทำอะไร ถ้าไม่ชำระหนี้จะเกิดอะไร และเมื่อเรียนจบจะมีการปัจฉิมนิเทศอีกรอบหนึ่ง

ทั้งนี้ หลังเรียนจบจะมีระยะเวลาปลอดหนี้ 2 ปี จึงจะเริ่มกระบวนการชำระหนี้ ซึ่งผู้กู้ 1 คนกู้เฉลี่ย 1 แสนบาท โดยกระบวนการติดตามหากผู้กู้ไม่ชำระ กองทุนจะส่งจดหมายแจ้งภาระหนี้ให้ผู้กู้ จากนั้นกองทุนจะมีส่งจดหมายติดตามหนี้ค้างชำระให้แก่ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน และมีเจ้าหน้าที่โทรศัพท์แจ้งเตือง มีการส่งข้อความ SMS และข้อความเสียง เพื่อให้ชำระหนี้ในระยะเวลาที่กำหนด

“แต่หากผู้กู้ยืมไม่ได้รับจดหมายจากกองทุนก็สามารถตรวจสอบยอดหนี้และสถานะของตนเองได้ทางเว็บไซต์ กยศ. (www.studentloan.or.th) และหากผู้กู้ยืมค้างชำระหนี้ จะต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 12 หรือ 18 ต่อปี ของเงินต้นงวดที่ค้างชำระแล้วแต่กรณี จนถึงขั้นถูกบอกเลิกสัญญาและดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อถูกดำเนินคดีแล้วสามารถไปขอไกล่เกลี่ยทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลได้ และชำระหนี้เป็นรายเดือนได้อีก 9 ปี

หรือแม้ว่าไม่ได้ไปศาลและศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้ทั้งหมด กองทุนยังได้ให้เวลาผ่อนชำระหนี้ตามคำพิพากษาอีกระยะหนึ่ง แต่หากผู้กู้ยืมหรือผู้ค้ำประกันไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด กองทุนมีความจำเป็นต้องสืบทรัพย์บังคับคดีตามกฎหมาย มิฉะนั้นกองทุนจะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากเงินกู้ยืมเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน” นายชัยณรงค์ กล่าว

ผู้จัดการ กยศ. กล่าวอีกว่า ในการติดตามหนี้ กยศ.จะติดตามจากผู้กู้ก่อน แต่ที่เกิดปัญหาผู้ค้ำประกันต้องมารับผิดชอบมีหลายกรณี คือ ผู้กู้ยังไม่มีทรัพย์ ผู้กู้มีทรัพย์แต่ไม่จ่าย และไม่มีวินัยทางการเงิน นำเงินไปใช้อย่างอื่นมากกว่ามาใช้หนี้ จึงเกิดปัญหากับผู้ค่ำประกัน ขณะเดียวกัน การติดตามหนี้ก็พบปัญหาว่าผู้กู้ปิดเบอร์มือถือ และบางรายไม่อยู่ในถิ่นฐานเดิมทำให้ติดตามไม่ได้ ทั้งนี้ มีผู้ค้ำประกันให้นักเรียนหลายรายแบบครูวิภาจำนวนมาก คาดว่าน่าจะมีปัญหาแบบนี้เหมือนกัน ส่วนหนึ่งเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีการกำหนดจำนวนคนค้ำและจำนวนเงิน แต่กรณีนี้กยศ.ก็จะมาพิจารณาปรับแนวทางในอนาคตกำหนดบุคคลและวงเงินต่อไป

ด้าน น.ส.วิภา กล่าวว่า ที่ผ่าน 4 รายที่ได้ชำระหนี้ไปแล้ว 92,000 บาทนั้น เพราะได้รับหนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ แต่ 17 รายดังกล่าวไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก กยศ.มาก่อน มาทราบอีกทีก็ได้รับหมายศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์แล้ว ทั้งที่ผ่านมาปฏิบัติตามมาตรการของ กยศ.มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ยหนี้

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีข่าวออกไปมีลูกศิษย์ติดต่อเข้ามา 2 ราย โทรศัพท์มาขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนและบอกว่าจะไปปิดหนี้ กยศ.ที่เหลืออยู่และจะผ่อนชำระหนี้ที่ครูจ่ายแทนไปให้เดือนละ 5,000 บาท แต่ก็ไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะดำเนินการอย่างที่พูด เพราะเป็นแค่การคุยโทรศัพท์ไม่มีหลักฐานยืนยัน

“แม้ กยศ. จะชะลอการบังคับคดีแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่าคดีจะสิ้นสุด เพราะถ้าสืบทรัพย์ไม่ได้ของเด็กมาไม่ได้ก็จะวนมาที่ตัวเองอยู่ดี ท้ายสุดคนค้ำประกันรอเวลาเท่านั้น ถ้าเด็กมาจ่ายเงิน กยศ. ตรงเวลา ก็เป็นเรื่องดี ถ้าเด็กไม่จ่าย คนค้ำประกันเตรียมตัวรับหมายศาลได้เลย ขอบอกตรงนี้ว่า หากถูกยึดทรัพย์จริงก็จะไปกู้เงินมานำทรัพย์ออกไม่ยอมให้ขายทอดตลาดอย่างเด็ดขาด และหากเป็นไปได้อยากเสนอให้การชำระหนี้ของเด็กจ่ายเรียกเป็นชื่อผู้ค้ำประกัน เพราะเรารับภาระมาก่อนหน้านี้แล้ว”น.ส.วิภา กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าครูต้องการฟ้องร้องไล่เบี้ยคืนจากลูกศิษย์หรือไม่ น.ส.วิภา กล่าวด้วยเสียสั่นเครือ ว่าเพื่อให้ขอฝากถึงลูกศิษย์ที่ได้ดูอยู่ช่องทางไหนก็ตาม ทั้งคนที่ครูจ่ายหนี้แทนหรือยังไม่ได้จ่าย ด้วยความเป็นครูไม่เคยอยากทำร้ายลูกศิษย์ ตนไม่อยากฟ้องเด็กเขาคือลูกศิษย์ แค่อยากให้มาคุยจะใช้หนี้คืนอย่างไร ซึ่งคงไม่พูดอะไรมากเพราะ คำว่า คนดี ครอบคลุมหมดทุกอย่างในเรื่องของความซื่อสัตย์ สุจริต ความมีคุณธรรมและความรับผิดชอบ

นางเพ็ญรวี มาแสง โฆษกกรมบังคับคดี กล่าวว่า การติดตามหนี้ไม่ได้มีแค่การยึดทรัพย์เพียงวิธีการ เพราะก่อนจะถึงขั้นตอนนี้จะมีกระบวนการการไกล่เกลี่ย ซึ่งกรมบังคับคดีและกยศ.ได้มีความร่วมมือในการไกล่เกลี่ยเพื่อให้เจ้าหนี้และลูกหนี้มาทำข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้เกิดการชำระหนี้ที่ลูกหนี้สามารถจ่ายได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน