ทำไมอารมณ์และความรู้สึกต่อกรณี”รองอธิบดี”ก่อเรื่องขโมยภาพ เขียนในโรงแรมที่ญี่ปุ่น

จึงทวี “ความร้อนแรง”เป็นอย่างสูง

ถึงกับ นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชั่น(คปต.)

ต้องออกโรง “เคลื่อนไหว”

ถึงกับ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

ต้องออกโรง “เคลื่อนไหว”

แม้ว่าด้วยความพยายามของกระทรวงการต่างประเทศสามารถปกป้อง คุ้มครอง “รองอธิบดี” ท่านนั้นให้พ้นโทษกระทั่งเดินทางกลับประเทศได้อย่างเงียบเชียบ

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการลดรา วาศอก กระแสกดดันต่อ”รอง อธิบดี”ยังคงเดินหน้าอย่างเข้มข้น

เหมือนกับจะไม่เหลือ”ที่ยืน”ให้แม้แต่น้อย

 

หากมองจากด้านอันเป็นคุณก็ต้องยอมรับว่า นี่คือความสำเร็จของรัฐบาลในการก่อให้เกิดการต่อต้านพฤติกรรมที่ไม่ดี

นั่นก็คือ จำกัดขอบเขตเรื่องไม่ดีให้เหลือน้อย

ตลอด 2 ปีกว่าภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 การโหมประโคมในเรื่องต่อต้านทุจริตคอรัปชั่น

ได้ก่อมาตรฐานใหม่ในทางสังคม

ขณะเดียวกัน แม้ด้านหลักของการโหมประโคมเป้าหมายจะพุ่งไปยัง “นักการเมือง” แต่ชาวบ้านก็รู้ว่า นักการเมืองไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่มี “ข้าราชการ”ให้ความร่วมมือ

เป้าหมายจึงค่อยๆขยายไปยัง “ข้าราชการ”

หากศึกษาจากกรณี”ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา”จะเห็นในความรู้สึก

ยิ่งศึกษา”อุทยานราชภักดิ์”ยิ่งแจ่มชัด

หากโยงสายยาวไปยังเที่ยวบิน “อโลฮา ฮาวาย”ซึ่งอึกทึกครึกโครมพร้อมกับไข่ปลาคาเวียร์

ยิ่งทำให้ภาพของ”ข้าราชการ”มีความโดดเด่น

 

สภาพอันเกิดขึ้นกับ“รองอธิบดี”ได้ก่อให้เกิดภาพเปรียบเทียบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้พ้น

เมื่อได้ฟัง”น้ำเสียง”จากภายใน “รัฐบาล”

ไม่ว่าจะเป็นบุคคลระดับ”รองนายกรัฐมนตรี” ไม่ว่าจะเป็นบุคคลระดับ “รัฐมนตรี”

ล้วนออกมา”ปกป้อง” และ “แก้ต่าง”

ยิ่งฟัง “น้ำเสียง”จากเพื่อนข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ ยิ่งทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสัย

จึงได้มีการเกาะติด”ข่าว”แทบไม่กะพริบตา

การเคลื่อนไหวของ “รองอธิบดี” ภายหลังเดินทางกลับประเทศจึงมีความสำคัญ

กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการอย่างไร

สถานการณ์อันเกิดขึ้นกับ”รองอธิบดี”จึงเท่ากับเป็นสัญญาณ เตือนไปยัง”ข้าราชการ”ไปยัง”รัฐบาล”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน