สืบพยานวันแรก รื้อคดีครูจอมทรัพย์ เจ้าตัว ยังยืนยันความบริสุทธิ์ มึน ยธ.ตัดพยานเอก “สับ วาปี” รองปลัดแจงเหตุตัดออก เพราะข้ามไป 2 ขั้นตอน เกรงจะทำให้สังคมสับสน มั่นใจหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มี พิสูจน์ได้ว่าครูจอมทรัพย์ไม่ใช่คนขับรถชน ส่วนใครขับเป็นหน้าที่ของตำรวจ ขณะที่การไต่สวนวันแรก ศาลสอบพยานเสร็จ 6 ปาก ยังเหลือฝ่ายผู้ร้องอีก 3 ปาก ด้านผู้เชี่ยวชาญโตโยต้าให้การ ผลตรวจรถกระบะ ไม่สามารถบอกได้ว่ารถมีร่องรอยชนหรือไม่

เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ศาลจังหวัดนครพนม วันนี้ศาลนัดสอบพยานเป็นวันแรก กรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ร้องให้มีการ รื้อคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหาชนนายเหลือ พ่อบำรุง ชาวบ้านต.พระซอง อ.นาแก จ.นครพนม จนเสียชีวิต เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2548 ต่อมาเจ้าตัวถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยเมื่อเวลา 09.20 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ พาตัวนางจอมทรัพย์ เดินทางมาถึงศาลจังหวัดนครพนม โดยไม่ได้สัมภาษณ์ใด กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ขอบคุณๆ” โดยมีนายสมคิด หอมเนตร ตัวแทนเครือข่ายครูภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดินทางมา มอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจ ทั้งนี้พยานที่จะขึ้นให้การในวันนี้จำนวน 9 ปาก ประกอบด้วย 1.นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร 2. นาย ประพัฒน์ แสนเมืองโคตร ผู้มีชื่อครอบครองรถยนต์กระบะโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ ทะเบียน บค 56 สกลนคร คนปัจจุบัน

3.นายทักษิณ ไขสีดา เจ้าของรั้วลวดหนาม ที่ฝ่ายผู้ร้องอ้างว่ารถยนต์ไปเกี่ยวชนจน เกิดร่องรอยก่อนที่จะขาย 4.หัวหน้าคณะ ตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทรวงยุติธรรม 5.ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จะทำหน้าที่เบิกความเกี่ยวกับป้ายทะเบียนรถยนต์ ฝ่ายผู้ร้อง 6.ผู้เชี่ยวชาญ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งจะเบิกความเรื่องผลตรวจสอบตัวถังรถยนต์ด้านหน้า 7.เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก จะเบิกความผล ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถยนต์ 8.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ และ 9.นางทองเรศ วงศรีชา 2 พยานผู้อ้างว่าเห็นเหตุการณ์

ทั้งนี้ไม่มีชื่อนายสับ วาปี ผู้ที่ออกมารับสารภาพว่าเป็นคนขับรถชนคนตายตัวจริงมีชื่อเป็นพยานหรือเดินทางมาศาลที่แต่อย่างใด ขณะเดียวกับเจ้าหน้าที่ได้นำรถกระบะโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน บค 56 สกลนคร ของครูจอมทรัพย์มาแสดงต่อศาลด้วย

ขณะที่บรรยากาศในห้องพิจารณาคดี นางจอมทรัพย์เบิกความต่อศาลว่ารถกระบะคันนี้มีเพียงแค่สามีและเจ้าตัวเป็นผู้ใช้รถเท่านั้น ก่อนเกิดเหตุ 2 ปี สามีขับรถชนรั้วลวดหนามในหมู่บ้าน ห่างบ้านพัก 500 เมตร ด้านซ้ายมีรอยครูด แต่ด้านขวาไม่มี จึงได้ให้ช่างเคาะแต่ไม่ได้ทำสี ส่วนป้ายทะเบียนเป็นของแท้ ไม่มีร่องรอย หรือมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด รถกระบะคันดังกล่าวขายให้ นายประพัฒน์ในวันเกิดเหตุ โดยมี นางยุพิน ตรีจิตต์ หลานสาวนั่งไปที่สำนักงานขนส่งสกลนคร กับตนด้วยเพื่อโอนรถให้นาย ประพัฒน์ แต่ยังไม่ได้ให้รถไป หลังจากโอนรถจึงเดินทางถึงบ้านพัก 19.00-20.00 น. ซึ่งนางยุพินได้นอนพักค้างคืนที่บ้านด้วย จึงยืนยันว่าไม่ใช่คนขับรถไปชนใคร

ด้านนายประพัฒน์ผู้ซื้อรถต่อจากนาง จอมทรัพย์ เบิกความว่า รับซื้อรถ 133,000 บาท เมื่อวัน 11 มี.ค. 2548 และได้โอนแล้ว แต่นางจอมทรัพย์ยืมไปทำธุระ ตอนเช้า จึงให้ญาติไปรับรถที่บ้านนางจอมทรัพย์ และไม่ได้สังเกตว่ามีร่องรอยอะไรในตัวรถ หรือไม่ และไม่ได้มีการซ่อมแซม เปลี่ยนเฉพาะไฟหน้ารถเท่านั้น

ในช่วงท้ายการพิจารณาคดีศาลยังระบุ ด้วยว่าจะไม่ลงมาดูรถที่จอดด้านหน้าศาล เพราะศาลไม่มีความเชี่ยวชาญและมีความรู้เรื่องรถยนต์ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ และแถลงให้สื่อมวลชนทราบต่อไป

หลังสืบพยานนานเกือบ 4 ชั่วโมง นางจอมทรัพย์ได้ออกมาพร้อมผู้ติดตามเพื่อพักเที่ยงรับประทานอาหาร ก่อนกลับเข้ามาให้ปากคำอีกครั้งในเวลาประมาณ 13.30 น. โดยช่วงเช้าศาลได้สืบพยานไปแล้ว 2 ปาก คือนางจอมทรัพย์ และนายประพัฒน์ ส่วนนายทักษิณศาลยก ในช่วงท้ายการพิจารณาคดี ศาลยังระบุด้วยว่า จะไม่ลงมาดูรถที่จอด ด้านหน้าศาล เพราะศาลไม่มีความเชี่ยวชาญและมีความรู้เรื่องรถยนต์ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบและจะแถลงให้สื่อมวลชนทราบ

ต่อมาเวลา 13.30 น. นายชาติชาย โทสินธิติ ผู้บัญชาการสำนักฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อ เท็จจริงกระทรวงยุติธรรม ได้ขึ้นเบิกความเป็นคนแรก หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ ได้นำตัว นายสับ วาปี มาปรากฏตัวที่ศาล บริเวณหน้าห้องพิจารณาคดี บัลลังก์ 3 แต่เนื่องจากนายสับ ไม่ได้อยู่ในบัญชีพยาน หากจะนำขึ้นเบิกความต่อศาล จะต้องยื่นบัญชีรายชื่อพยานเร่งด่วน ซึ่งต้องต่อท้ายบัญชีพยานเดิมที่มีการยื่นไว้ก่อนหน้านี้ จึงได้ นำตัวนายสับเดินทางกลับทันที ส่วนพยาน ที่เหลืออยู่ระหว่างรอขึ้นให้การที่ศาลต่อไป

วันเดียวกัน ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีตัดนายสับ วาปี ออกจากพยานว่า ทางกระทรวงยุติธรรมมุ่งเน้นพยานทั้งหมด รวมถึงพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ว่ารถยนต์ของนางจอมทรัพย์ ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุมาเลย แม้ว่าได้ขายต่อไปแล้ว ก็ยังไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนความสูงของป้ายทะเบียนทั้งขอบล่างและขอบบน ซึ่งไม่สัมพันธ์กับสีที่ไปติดรถจักรยานคันเกิดเหตุ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีปัญหาหรือไม่ เพราะตอนแรกบอกว่าคนที่ชนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย พอมีคนออกมายอมรับว่าเป็นผู้ต้องหาตัวจริงจะทำให้สังคมไขว้เขวหรือไม่ พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าวว่า ไม่ ซึ่งตนอยากให้สังคมเข้าใจว่า ถ้ามีกรณีอย่างนายสับเกิดขึ้น 10 ราย 100 ราย จะเป็นมาตรฐานว่าจะต้องมีการรื้อฟื้นคดีใหม่หรือไม่ หรือว่าจะมีการต้องมาหาตัวผู้กระทำผิดใหม่หรือไม่ สำหรับประเด็นนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่านาง จอมทรัพย์เป็นคนขับรถ และถ้าเราสามารถพิสูจน์ได้ว่ารถยนต์คันนี้ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก่อน นางจอมทรัพย์ก็ค่อนข้างจะมี น้ำหนักในการหลุดพ้นจากมลทินต่างๆ ได้

“สำหรับเรื่องนายสับ ผมได้มาวิเคราะห์ ดูแล้วในมาตรฐานขั้นตอนของการทำงาน ของทีมงานที่ผมเคยกำกับอยู่ข้ามไปสอง ขั้นตอน คือ เรื่องของการจับเท็จ และขั้นตอนที่สำคัญคือให้ผู้เสียหายไปดำเนินการฟ้องร้องนายสับในคดีอาญา ในกรณีประมาทขับ เฉี่ยวชนผู้อื่นให้ถึงแก่ความตายและหลบหนี ซึ่งต้องรอให้ศาลพิพากษาว่านายสับเป็นผู้กระทำผิดตัวจริงก่อน ถึงจะมีการยื่นรื้อฟื้นคดี ฉะนั้นถ้าวันหน้าเกิดมีคนที่มีคุณสมบัติองค์ประกอบครบอย่างนายสับทุกอย่าง ก็คือมารับสารภาพว่าเป็นผู้กระทำผิดทุกอย่าง มีการเจรจาจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับญาติของผู้เสียชีวิตมันจะทำให้กระบวนการยุติธรรมสับสนและไขว้เขวไปได้” พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าว

ถามต่อว่า สรุปก็คือว่าขั้นตอนแค่พิสูจน์ว่านางจอมทรัพย์ไม่ได้เป็นคนผิด ส่วนใคร จะเป็นคนผิดนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าวว่า ใช่ ซึ่งหมายถึงว่าต้องรอจนกว่าศาลพิพากษาว่านางจอมทรัพย์มีความผิดหรือไม่ ถ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้บังคับใช้กฎหมาย ผู้รักษากฎหมายจะต้องตามหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริง โดยเฉพาะภายในอายุความ

รายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า ในคดีนี้ได้ตัดนายสับออกจากการเป็นพยาน เนื่องจากการใช้พยานตัวบุคคลอาจมีปัญหา ในเรื่องความน่าเชื่อถือ จึงหันมามุ่งเน้นที่ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ว่านางจอมทรัพย์ไม่ได้เป็นผู้ขับรถชนผู้อื่นเสียชีวิต

ด้านนายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงขั้นตอนในคดีว่า หากมีการสืบพยานได้เสร็จสิ้นตามกำหนดนัด ศาลจังหวัดนครพนมจะต้องจัดทำความเห็นในคดีดังกล่าว และส่งความเห็นพร้อมสำนวนไปยังศาลฎีกา เพื่อทำคำวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ที่มิได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือไม่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาทำคำวินิจฉัยช่วงหนึ่ง และเมื่อศาลฎีกาทำคำวินิจฉัยเสร็จแล้ว จะต้องส่งคำวินิจฉัยนั้นกลับไปให้ที่ศาลจังหวัดนครพนมเป็นผู้นัดอ่านคำวินิจฉัยดังกล่าว ซึ่งคำวินิจฉัยจะระบุว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกาหรือเป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้วินิจฉัยแล้ว

นายสืบพงษ์กล่าวต่อว่า หากคดีนี้ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า จำเลยยังคงเป็นผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น การรื้อฟื้นคดี จะถือเป็นที่สิ้นสุดตามพ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีอาญาฯ นั้นสามารถกระทำได้เพียงครั้งเดียว แต่หากศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกาก่อนหน้านี้ ก็จะมีสิทธิในการเรียกร้องค่าทดแทนตามพ.ร.บ. รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งมีบท บัญญัติรองรับไว้อยู่แล้ว

เมื่อถามว่า หากศาลฎีกามีคำวินิจฉัย กลับว่า ครูจอมทรัพย์ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับผู้ใด ได้บ้าง นายสืบพงษ์กล่าวว่า ต้องพิจารณาเป็นเรื่องไปว่า เจ้าหน้าที่รัฐนั้นกระทำการในคดีโดยสุจริตหรือไม่ ซึ่งยังไม่สามารถที่จะวินิจฉัยได้ในชั้นการรื้อฟื้นคดีอาญานี้ แต่คำวินิจฉัยดังกล่าวสามารถเป็นพยานหลักฐานชิ้นหนึ่ง ในสำนวนที่ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่รัฐที่จำเลยเห็นว่ากระทำการไม่สุจริตในคดีได้

ต่อมาเวลา 18.45 น. ศาลเสร็จสิ้นการสอบปากคำในวันแรก โดยนางจอมทรัพย์ เปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังออกจากห้องพิจารณาคดีว่า ขอบคุณคนไทยทั่วประเทศรวมทั้งที่อยู่ต่างประเทศด้วย ตอนนี้กำลังใจเกินร้อย หลังจากได้เบิกความต่อศาลในวันนี้รู้สึกมีกำลังใจดีขึ้นเยอะ ทั้งนี้ไม่ขอพูดในรายละเอียดการให้ปากคำของพยาน ก่อนที่เจ้าหน้าที่จาพาตัวกลับทันที

ด้านนายพงศา ราตรี ทนายความกล่าวว่า พอใจกับภาพรวมการสืบพยานวันนี้ ซึ่งได้มีการสอบไปทั้งหมด 6 ปาก โดยในส่วนของนายสับ วาปี พยานปากสำคัญที่วันนี้ไม่มีในรายชื่อของพยานทั้งที่มีส่วนสำคัญในการสั่งให้ไต่สวนรื้อคดีนั้น ยืนยันว่ายังไม่ได้ตัด แต่จะประชุมกับทีมงานก่อนว่าจะเบิกชื่อหรือไม่ เพราะนายสับได้ให้การในชั้นสอบสวนไปแล้ว ส่วนที่วันนี้นายสับเดินทางมาในช่วงบ่ายแต่ต้องรีบกลับในทันทีนั้น เป็นเพราะความผิดพลาดด้านการสื่อสารเรื่องลำดับของพยาน อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้จะมีการเบิกพยานอีก 3 ปาก

นอกจากนี้นายพงศากล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่จากบริษัทโตโยต้า(ประเทศไทย) หนึ่งในพยานที่เบิกความในวันนี้ ได้ให้การว่ารถโตโยต้า ไมตี้เอ็กซ์ บค56 สกลนคร ของนางจอมทรัพย์ ที่ตรวจสอบโดยบริษัทโตโยต้านั้นไม่สามารถบอกได้ว่าเคยเฉี่ยวชนมาก่อนหรือไม่ คำให้การตรงนี้ไม่มีผลต่อคดี เพราะมีพยานส่วนอื่นที่นำมาแสดงด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน