นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยและเกษตรกรที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อธนาคารละ 5,000 ล้านบาท รวมวงเงิน 10,000 ล้านบาท โดยกำหนดให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท มีระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ย 10% ต่อปี คาดว่าจะครอบคลุมประชาชนและเกษตรกรในกลุ่มดังกล่าวประมาณ 200,000 ราย

สำหรับโครงการดังกล่าว ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายช่วยเหลือประชาชนที่มีการประกอบอาชีพ หรือเป็นเกษตรกรที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว โดยต้องไม่เป็นการรีไฟแนนซ์หนี้ในระบบเดิม ซึ่งจะต้องยื่นขอกู้เงินภายใน 1 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินเดือนละ 0.85% หรือประมาณ 10% ต่อปี ผู้กู้ต้องมีบุคคลค้ำประกันอย่างน้อย 1 คน หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาให้สินเชื่อ จะดูความสามารถในการชำระหนี้จากรายได้ และค่าใช้จ่ายรวมของบุคคลในครอบครัวเป็นหลัก

ทั้งนี้กระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า ความจำเป็นที่ต้องเสนอครม.ครั้งนี้ เป็นเพราะทั้ง 2 ธนาคารได้มีการจัดตั้งหน่วยธุรกิจ เพื่อรับผิดชอบการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบแล้ว แต่ยังมีประชาชนทั้งที่เป็นผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อของธนาคารได้ และมีความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล และค่าเล่าเรียน ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบตามนโยบายของรัฐบาล ทั้ง 2 ธนาคารจึงเสนอโครงการดังกล่าวขึ้นมา สำหรับบริการทางการเงินกับกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อนำไปใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือแก้ปัญหาคามเดือดร้อนในครัวเรือน

เนื่องจากโครงการดังกล่าว เป็นการให้สินเชื่อกับกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้สูง ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อใดๆ ของธนาคารได้ แต่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน จึงขอรับการชดเชยความเสี่ยงหายจากรัฐบาล สำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการไม่เกิน 40% ของสินเชื่ออนุมัติ โดยรัฐบาลจะชดเชยสูงสุด กรณีที่เกิดเอ็นพีแอลทั้งโครงการ ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการชดเชยให้ทั้ง 2 ธนาคาร แห่งละ 2,000 ล้านบาท

นายณัฐพร กล่าวว่า ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการนี้ จะช่วยให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน โดยไม่ต้องไปใช้บริการเงินกู้นอกระบบ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง และในบางกรณียังต้องเจอกับการติดตามทวงถามหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมา แต่มื่อมีโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนให้กลุ่มดังกล่าวดีขึ้น เพราะจากข้อมูลการลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบของรัฐบาล เมื่อปี 52-53 พบว่า มีลูกหนี้นอกระบบในโครงการทั้งสิ้น 1.185 ล้านคน คิดเป็นมีมูลหนี้ประมาณ 123,240 ล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน